ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 7 สิงหาคม 2552

สตรีม ไอ.ที. ประกาศตัวเป็นพันธมิตร”โพสต์ทิเลียน” ดันรายได้กลุ่มแบงก์ พร้อมขยายตัวสู่ตลาดค้าปลีก-ประกัน หลังครึ่งปีแรกลูกค้าเบรกลงทุนยอดนิ่ง    

นางกนกวิภา วิริยประไพกิจ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สตรีม ไอ.ที. คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าวว่า บริษัทบรรลุข้อตกลงเป็นพันธมิตรกับบริษัท โพสต์ทิเลียน ผู้พัฒนาระบบการจ่ายเงินอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลกจากสหรัฐ ให้เป็นตัวแทนจำหน่ายในไทยแต่เพียงผู้เดียว

ทั้งนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการลงทุนในภาพรวมของไทย โดยเฉพาะสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นช่วงของการพัฒนาระบบเพื่อให้สอดรับกับกฎระเบียบ และรับมือกับภัยคุกคามออนไลน์ รวมทั้งการแข่งกันหาวิธีลดต้นทุนองค์กรให้ได้มากที่สุด

เธอระบุว่า ภาพรวมของธนาคารไทยยังใช้ระบบการชำระเงินแบบเก่า (เลกาซี ซิสเต็มส์) มากกว่า 80% โดยเฉพาะระบบเอทีเอ็ม พูล ที่ใช้งานมากว่า 20 ปี ซึ่งยากต่อการพัฒนาให้รองรับกับบริการใหม่ๆ ทั้งยังมีต้นทุนจัดการสูง

ขณะที่ระบบของโพสต์ทิเลียนได้รับการยอมรับในฝั่งสหรัฐ และยุโรป ที่เริ่มปรับระบบให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์ เปย์เมนท์ เพื่อรองรับการให้บริการระบบการชำระเงินใหม่ๆ ทั้งโมบาย เปย์เมนท์ และอิเล็กทรอนิกส์ เปย์เมนท์

“บ้านเรายังใช้เงินสดในการใช้จ่ายสูง ทำให้ต้นทุนการจัดการของธนาคารสูงตามไปด้วยถ้าเทียบกับการจ่ายเงินในระบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็เป็นเทรนด์ที่ระบบใหม่จะเติบโตมากขึ้นช่วงนี้ ซึ่งนอกจากลูกค้าแบงก์แล้ว เรายังมองตลาดคมนาคมด้วย โดยใช้บัตรจ่ายค่ารถ รวมทั้งตลาดค้าปลีก และประกัน ซึ่งมีแนวโน้มจะลงทุนระบบใหม่สูง”

เธอคาดว่า บริษัทจะมีส่วนแบ่งราว 50% จากมูลค่าตลาดการชำระเงินในไทยที่มีแนวโน้มเติบโตถึง 1,000 ล้านบาท ภายใน 2 ปีจากนี้ ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากลูกค้าธนาคารราว 60% และนอน-แบงก์ราว 40%

อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีแรกนี้บริษัทได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นผลจากการตัดสินใจลงทุนของลูกค้ายากขึ้น ซึ่งบริษัทก็ปรับตัวด้วยการเข้มงวดกับค่าใช้จ่ายภายใน รวมทั้งการหาพันธมิตรทำธุรกิจมากขึ้น โดยนอกจากโพสต์ทิเลียนแล้ว เร็วๆ นี้บริษัทยังเตรียมประกาศจับมือกับพันธมิตรระดับโลกด้านจัดการการฉ้อฉล (Fraud Management) คาดว่าจะช่วยหนุนรายได้เติบโตราว 15% แม้จะต่ำกว่าทุกปีที่ผ่านมา แต่ก็เป็นไปตามเป้าเติบโตสูงกว่าตลาดไอทีโดยรวม

นายฟรองซัวส์ แวน สกอร์ ประธานบริษัทโพสต์ทิเลียน ในเครือเอสวัน คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าผลักดันให้ไทยเป็น “เวิลด์คลาส เคส” สำหรับการทำตลาดโลก โดยประเมินจากจำนวนธนาคาร และสาขาที่ให้บริการ ซึ่งมีขนาดตลาดใหญ่เทียบได้กับสถาบันการเงินขนาดใหญ่ในประเทศที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก เช่น สหรัฐ เพราะส่วนใหญ่ยังเป็นระบบเก่า จึงเป็นโอกาสทางการตลาดสำหรับบริษัทอย่างมาก

“เราตั้งเป้าให้ไทยเป็นเวิลด์คลาส เคส เพราะนอกจากขนาดตลาดที่ใหญ่แล้ว ยังเป็นตลาดที่โดดเด่นของภูมิภาค และมีลักษณะพิเศษเฉพาะที่หลายประเทศต้องมอง ดังนั้นถ้าเราสามารถประสบความสำเร็จ มีท็อปไฟว์ แบงก์ในไทยเป็นลูกค้า ก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จแล้ว และคาดว่าคงอีกไม่นานนี้”