Skip to Content

Category Archives: Blog

Omni Channel ยุคใหม่ธุรกิจค้าปลีก

Omni Channel คือ อะไร ทำไมต้องนำมาใช้ ก่อนอื่นมาดูวิวัฒนาการของการธุรกิจค้าปลีกกันก่อนนะครับomichannel

  • Single-Channel ยุคเริ่มแรกเทคโนโลยียังไม่พัฒนา ธุรกิจค้าปลีกยังเป็นการขายผ่านทางหน้าร้านค้าเป็นช่องทางเดียว ลูกค้าต้องไปซื้อของที่ร้านอย่างเดียว ซึ่งในปัจจุบันที่เรายังเห็นกันอยู่ เช่น ร้านโชห่วย

o1

  • Multi-Channel หลังจากนั้นเทคโนยีเริ่มพัฒนามากยิ่งขึ้น Internet เริ่มเข้ามามีบทบาท เกิด social media, website, email ผู้คนเริ่มใช้กันอย่างแพร่หลาย จึงทำให้เกิดช่องทางที่หลากหลายในการเข้าถึงลูกค้า และลูกค้าสามารถหาข้อมูลต่างๆผ่าน website ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสินค้า ดังนั้นร้านค้าต้องปรับตัวให้มีช่องทางการเข้าถึงลูกค้าเพิ่มมากยิ่งขึ้น แต่แบบ Multi-Channel ยังคงแยกช่องทางการขาย ไม่มีการแชร์ข้อมูล หรือทำงานร่วมกันในแต่ละช่องทาง ทำให้ลูกค้าเกิดความสับสนของข้อมูลได้ เช่น ร้านค้า A มีหน้าร้านหลายสาขา และมีขายผ่าน E-Commerce ลูกค้าเลือกซื้อได้แค่ช่องทางเดียวไม่สามารถสั่งซื้อผ่าน E-Commerce และไปรับหน้าร้านได้

 

  • Cross-Channel พัฒนามาจาก Multi-Channel ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าผ่านช่องทางไหนก็ได้ ข้ามช่องทางกัน แต่เบื้องหลังการทำงานข้อมูลต่างๆของแต่ละช่องทางและ Back office ไม่มีการ integrate กันอย่างสมบูรณ์ จึงทำให้ลูกค้าไม่ได้รับประสบการณ์การซื้อสินค้าที่ดีพอ เช่น ลูกค้าดูสินค้าที่ลดราคา 20% ผ่าน E-Commerce และเลือกที่จะซื้อสินค้าสาขาที่ใกล้ที่สุด แต่พอไปถึงสินค้ากลับไม่มีโปรโมชั่นลดราคา
    o2

ที่มา blog.thestorefront.com

  • Omni Channel เป็นการนำ Cross-Channel มาปรับปรุงโดย Integrate ข้อมูลของช่องทางต่างๆและ Back office กันอย่างสมบูรณ์ นอกจาก Integrate ข้อมูลแล้วทางร้านค้าต้อง Integrate business operations เข้าด้วยกันทั้งหมดเพื่อที่จะตอบสนองความพอใจของลูกค้า เช่น ลูกค้าเข้าไปเลือกเสื้อผ้าผ่าน E-Commerce และต้องการไปเอาสินค้าที่สาขา ระบบจะทำการตรวจสอบสต๊อกสาขาที่มีและให้ลูกค้าเลือกสาขาที่ใกล้ที่สุด เมื่อลูกค้าเข้าไปถึงร้าน พนักงานจะดึงข้อมูลเสื้อผ้าที่ลูกค้าต้องการพร้อมทั้งวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อสินค้า นำไปสู่การเสนอสินค้าอื่นๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย ทำให้ลูกค้าพึงพอใจและกลับมาซื้อสินค้าใหม่

 

จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันธุรกิจส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ customer-centric เน้นตอบสนองความพึงพอใจให้กับลูกค้าโดยมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าลูกค้าต้องการ Omni Channel คือ คำตอบของธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่

mProfile

เขียนและเรียบเรียงโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

 

0 16 Continue Reading →

การตั้งค่าภาษี (TAX) ใน Magento

          สำหรับการตั้งค่า Tax ใน Magento ค่อนข้างที่จะเข้าใจยากสักนิด มือใหม่ก็อาจจะเกิดอาการงงนิดนึง (ผู้เขียนก็เช่นกัน) เพราะต้องตั้งค่ากันหลายจุดเลยทีเดียว  ดังนั้น วันนี้ผู้เขียนจึงได้รวบรวมเอาเทคนิควิธีการตั้งค่า Tax มาให้ได้ลองศึกษากันดู

          ในการตั้งค่า Tax นั้นหลัก ๆ เราจะต้องทำการตั้งค่าทั้งหมด 2 ส่วนด้วยกันได้แก่

  1. Configuration
  2. Tax

 

  1. Configuration

ในส่วนนี้จะเป็นการตั้งค่าเกี่ยวกับการคำนวณภาษีและการแสดงผลที่หน้าบ้าน มีขั้นตอนดังต่อไปนี้

คลิกเมนู System > Configuaration > Tax

1

ที่แท็บ Sale > Tax

2

การกำหนดค่าในส่วนของ Calculation Setting                             

  1. เลือก Tax Calculation Method Based On = Unit Price

Tax Calculation Method Based On

  1. Unit Price  คำนวนจากสินค้าแต่ละชิ้น
  2. Row Total  คำนวนจากราคาของสินค้าแต่ละชนิดกรณีซื้อมากกว่า 1 ชิ้น
  3. Total คำนวนจากราคาของสินค้าแต่ละชนิดกรณีซื้อมากกว่า 1 ชิ้น
  4. เลือก Catalog Prices = Including Tax
  5. Including Tax  คือ แสดงราคา Subtotal ที่รวม Tax แล้ว
  6. Excluding Tax คือ แสดงราคา Subtotal ที่ไม่ได้รวม Tax
  7. เลือก Apply Customer Tax = Before Discount

การกำหนดค่าในส่วนของ Price Display Settings                                  

  1. เลือก Display Product Prices In Catalog = Including Tax
  2. Including Tax คือ ให้ราคาที่แสดงในหน้าเว็บเป็นราคาที่รวม Tax แล้ว
  3. Excluding Tax คือ ให้ราคาที่แสดงในหน้าเว็บเป็นราคาที่ไม่รวม Tax
  4. เลือก Display Shipping Prices = Excluding Tax

การกำหนดค่าในส่วนของ Shopping Cart Display Settings                                

  1. เลือก Display Prices = Including Tax
  2. Including Tax คือ ให้ราคาที่แสดงในหน้าเว็บเป็นราคาที่รวม Tax แล้ว
  3. Excluding Tax คือ ให้ราคาที่แสดงในหน้าเว็บเป็นราคาที่ไม่รวม Tax
  4. Including Tax and Excluding Tax คือ ให้ราคาที่แสดงในหน้าเว็บเป็นราคาที่ไม่รวม Tax
  5. เลือก Display Subtotal = Excluding Tax
  6. เลือก Display Shipping Amount = Excluding Tax
  7. เลือก Display Full Tax Summary = Yes
  8. Yes คือ แสดง Tax ทั้งหมดที่ apply พร้อมทั้งผลรวมของ Tax ทั้งหมด
  9. No คือ แสดงเฉพาะผลรวมของ Tax ทั้งหมด

ผลลัพธ์ของการตั้งค่าในหน้า Frontend          

3

  1. Tax

          มาถึงการกำหนดค่าในส่วนของ Tax ในส่วนนี้ต้องทำการกำหนดค่าทั้งหมด 4 ส่วนย่อย ดังนี้

3.1

  • การสร้าง Product Tax Classes
  • การสร้าง Customer Tax Classes
  • การจัดการ Tax Zones & Rates
  • การจัดการ Tax Rules

 

2.1 การสร้าง Product Tax Classes

          ในส่วนนี้จะเป็นการสร้าง Class ของ Product ซึ่ง Class ที่เราสร้างจะไปปรากฎในหน้า New Product ในส่วนของ Tax Class มีขึ้นตอนในการสร้างดังนี้

Sales > Tax > Product Tax Classes > Add New

กรอก Class Name ที่ต้องการ แล้วคลิก Save Class

5

2.2 การสร้าง Customer Tax Classes

          ในส่วนนี้จะเป็นการสร้าง Class ของ Customer เราสามารถกำหนดให้ Customer Group ใช้ Tax Class ที่แตกต่างกันได้ ซึ่ง Customer Tax Classes มีขั้นตอนในการสร้างดังต่อไปนี้

Sales > Tax > Customer Tax Classes > Add New

กรอก Class Name ที่ต้องการ แล้วคลิก Save Class

6

2.3 การจัดการ Tax Zones & Rates

          การจัดการ Tax Zones & Rates เป็นการกำหนดว่าต้องการให้คิด Tax กี่เปอร์เซ็นต์ และสามารถเลือก Zones ที่จะใช้ Rates นี้

Sales > Tax > Manage Tax Zones & Rates > Add New Tax Rate

          Tax Identifier = th-rate 1

          Country = Thailand

          Rate Percent = 15.0000       *นำไปคำนวณกับราคาสินค้า

          Save Rate

7

2.4 การจัดการ Tax Rules

          เป็นการสร้าง Tax Rues ที่จะนำไปใช้ในการคำนวณ Tax

          Name (ชื่อ Rules )

          Customer Tax Class (เลือก Customer Tax Class ที่ทำการสร้างตามข้อ 2)

          Product Tax Class (เลือก Product Tax Class ที่ทำการสร้างตามข้อ 1)

          Tax Rate (เลือก Tax Rate ที่ทำการสร้างตามข้อ 3)

          Priority (กำหนด Priority ให้กับ Rule)

8

เรียบเรียงโดย

ทัศนีย์ คัดเจริญ
Quality Assurance

0 0 Continue Reading →

B2B Buyer Demand (ทำอย่างไรให้ลูกค้าระดับ B2B ซื้อสินค้ามากขึ้น ?)

 

B2B Buyer Demand

 ทำอย่างไรให้ลูกค้าระดับ B2B ซื้อสินค้ามากขึ้น ?” 

ทำอย่างไรเพิ่ม Conversion rate จาก Visitor กลายเป็น Buyer ?”   Blog นี้มีคำตอบ

b2bbuyer

ข้อมูลจากรายงาน Mastering Omnichannel B2B Customer Engagement

ที่มา Source: Forrester Research Inc., Internet Retailer

 

จากข้อมูลรายงาน Mastering Omnichannel B2B Customer Engagement แสดงให้เห็นว่า

ลูกค้าที่กลับมาซื้อสินค้าซ้ำๆ จาก ผู้ขาย(Supplier)เจ้าเก่า เพราะทางร้านแสดงราคาและรายละเอียดข้อมูลของสินค้าให้แก่ลูกค้าเจ้านั้น แบบราคาพิเศษกว่าปกติ ซึ่งการทำแบบนี้จะเรียกลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำได้ถึง 19%

การเอาใจเค้า มาใส่ใจเรา” เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ใช้ได้ทุกยุค ทุกสมัย การทำ  B2B ก็เช่นกัน ทางผู้ขายควรจะมอง  บริษัทลูกค้า เหมือนคนๆ หนึ่ง ที่มีความต้องการแตกต่างจาก บริษัทอื่นๆ มีความเฉพาะตัว ดังนั้นถ้าหากผู้ขายสามารถ Tracking พฤติกรรมการซื้อของลูกค้า จากช่องทางอื่นๆ  แล้วเสนอสินค้าหรือ Promotion ที่เหมาะสมแก่ลูกค้าได้ ย่อมเกิดผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เช่น ลูกค้าโทรศัพท์สั่งของ ประเภทสินค้า A เป็นประจำ ในช่วงปีใหม่  หากทางผู้ขายรู้พฤติกรรมนี้ สามารถจัดราคาสินค้าพิเศษ แสดงบนหน้า E-Commerce หลังจากที่ลูกค้า Login เข้ามา ซึ่งจะทำให้ลูกค้ารู้สึก “Wowww” และเกิด Loyalty กับทางผู้ขายเพิ่มมากขึ้น  เรียกลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำได้ถึง 16%

การทำ Cross-sell , Up-sell , Related Product หรือ Service นอกจากจะเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าแล้ว ยังช่วยให้เป็นการแนะนำสินค้าในที่บางที ลูกค้าอาจจะลืมซื้อไป การทำแบบนี้ทำให้เพิ่ม Loyalty ได้ถึง 13%

ราคาถูกเป็นปกติ  เรื่องราคาเป็นสิ่งสำคัญ หากผู้ขายสามารถตั้งราคาได้ต่ำกว่าท้องตลาด ย่อมแย่ง Market Shared ได้เยอะกว่า เพิ่ม Loyalty ได้ถึง 12%

ถ้าผู้ขายมีทางเลือกการชำระเงินหลายหลาก เช่น จ่ายผ่านบัตรเครดิต  การผ่อนชำระ  จ่ายผ่าน Line Pay  Paypal จะทำให้เพิ่ม Loyalty ได้ถึง 10%

ถ้าผู้ขายมี Omni Channel ครบวงจรแก่ลูกค้าจะทำให้เพิ่ม Loyalty ได้ถึง 9%

สุดท้าย หากผู้ขายมีการ support หรือ Service หลังการขายที่ดีเยี่ยม เช่น มี Live Chat ช่วยในการตอบคำถามแก่ลูกค้า, Email Marketing , การรับประกันสินค้า จะทำให้เพิ่ม Loyalty ได้ถึง 7%

 “From concept to Commerce

   “Can it really happen in less than 120 days ?”

        Cost-Effectively And Better Online store are made with Our Stream Solution.

จากข้อมูลทั้งหมด ทุกอันดับความต้องการจากมุมมองผู้บริหารธุรกิจ B2B ทาง Stream IT Consulting มี Solution ที่ตอบโจทย์ Commerce ทาง B2B ได้อย่างครบถ้วน อย่างแน่นอน

 

mProfile

สนใจที่จะใช้บริการ สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

เขียนและเรียบเรียงโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

0

B2B MARKETING 2015

 

B2B MARKETING 2016

“Digital Marketing”  ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และถือเป็นอาวุธสำคัญสำหรับนักการตลาดในยุคปัจจุบัน สำหรับธุรกิจแบบ B2B การทำ Marketing มีความสำคัญไม่น้อย ซึ่งบางมุมมองอาจจะแตกต่างกับ B2C  มาดูกันครับว่า ข้อมูลเป็นอย่างไร

เป้าหมายของการลงทุนทำ Digital Marketing ที่ประสบผลสำเร็จในปี 2015

Goal_DM_2015

จากข้อมูลการ Survey นักการตลาด

ที่มา Source: Regalix Research

การลงทุนทุกอย่างย่อมต้องทำให้รายได้เพิ่มขึ้น  จึงไม่น่าแปลกใจที่มาเป็นอันดับแรก ถึง 69% รองลงมาการเพิ่ม leads generated คือ กิจกรรมทางด้านการตลาดที่ให้ได้รายชื่อของผู้ติดต่อทางธุรกิจที่จะนำไปสู่กระบวนการและขั้นตอนของการขาย มาเป็นอันดับที่สอง   ส่วนอันดับที่ สาม การเพิ่ม sale ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่ม lead  และต้องการเพิ่มฐานลูกค้าและ Brand awareness มาเป็นอันดับที่ 4 และ 5

เมื่อตั้งเป้าหมายแล้ว คราวนี้มาดูว่าเค้าใช้เครื่องมืออะไร ในการทำให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้

Digital Channel ที่ลงทุนไปในการบรรลุเป้าหมายในปี 2015

DC_Goal2015

อันดับ 1 Web site เช่น web e-commerce ที่รองรับหน้าจอต่างๆ responsive design ซึ่งในปัจจุบัน e-commerce ทำงานได้หลักล้านล้านบาทเลยทีเดียว

อันดับ 2 Email Marketing เป็นส่วนที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายและส่งข้อมูลทางการตลาดเข้าถึงลูกค้าจำนวนครั้งละมากๆ

อันดับ 3 SEO(organic search) ไม่จำเป็นต้องซื้อ google adwords (SEM) หรือ โฆษณาต่างๆ ให้เสียค่าใช้จ่าย เพียงแค่ทำ SEO ให้ดีบนหน้า website keyword  ชัดเจน landing page เหมาะสมแค่นี้ ก็ทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายทางการตลาดได้อย่างไม่ยาก

อันดับ 4 Social ในปัจจุบัน social network ไม่ว่าจะเป็น facebook,linkedIn และ line มีผู้เข้าใช้เป็นจำนวนมาก สามารถวิเคราะห์เพื่อเห็นพฤติกรรม ความสนใจ ในด้านต่างๆ จึงถือเป็นเครื่องมือที่ทำให้นักการตลาดเข้าถึง consumer ได้ตรงกลุ่มมากยิ่งขึ้น

อันดับ 5 Blog “Content is King” การให้ข้อมูลสินค้าจากผู้เชี่ยวชาญ หรือ รีวิวและ feed back จากลูกค้าจะช่วยให้ลูกค้าเพิ่มความมั่นใจในการซื้อสินค้ากับเรา

86

“From concept to Commerce

   “Can it really happen in less than 120 days ?”

        Cost-Effectively And Better Online store are made with Our Stream Solution

จากข้อมูลทั้งหมด ทุกอันดับความต้องการจากมุมมองผู้บริหารธุรกิจ B2B ทาง Stream IT Consulting มี Solution ที่ตอบโจทย์ Commerce

ทาง B2B ได้อย่างครบถ้วน อย่างแน่นอน

mProfile

สนใจที่จะใช้บริการ สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

เขียนและเรียบเรียงโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

0 0 Continue Reading →

Trends In B2B E-Commerce

 

Trends In B2B E-Commerce

Key Data Trends B2B E-commerce

KeyDataB2B

จากข้อมูลการ Survey ผู้บริหารลงทุนในด้าน Technology ของปี 2015

ที่มา Source: Forrester Research Inc., Internet Retailer

จากผลการ survey ในปี 2015  ผู้บริหารลงทุน Technology ในส่วนของธุรกิจ B2B ให้ความสำคัญอันดับแรก คือ ระบบ E-commerce ซึ่งถ้าหากดูจำนวนเงินที่ผ่าน E-Commerce เฉพาะแค่ B2B จะสูงถึง 780 ล้านเหรียญ(usd) เฉพาะในสหรัฐอเมริกา และคาดว่าจะมีมูลค่าถึง  1.132 ล้านล้านเหรียญ(usd) ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ ระบบ E-commerce มาอันดับที่ 1  61%

อันดับที่ 2   61% เป็นของ Web Content Management Tools หรือ CMS  “Content Is King” เนื้อหา หรือสารที่สื่อออกไปให้ลูกค้า  ไม่ว่าจะเป็น Promotion, ข้อมูลข่าวสารของบริษัท , Blog เป็นสิ่งสำคัญกับการตลาดในปัจจุบัน  ดังนั้นการปรับแต่งเนื้อหา จะต้องใช้งานได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องพึ่งแผนก IT จึงมาเป็น อันดับ 2

อันดับที่ 3  56%  การ Integrating กับระบบบริหารจัดการหลังบ้าน ที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ระบบคลังสินค้า  ระบบการเงิน  ระบบจัดการคำสั่งซื้อ ระบบ CRM  ช่วยให้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแบบ automation มากยิ่งขึ้น เช่น ลูกค้าซื้อสินค้า ระบบ E-commerce จะไปดึง stock ระบบ ERP หลังบ้าน เพื่อตรวจสอบว่า มีสินค้าอยู่จริง และสามารถตัด stock ได้ทันที ที่ลูกค้าสั่งซื้อ จะช่วยให้การบริหาร stock ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด

อันดับที่ 4  52% Mobile Site And Apps ในปัจจุบัน user ใช้งานผ่านทาง Mobile Device กันอย่างมากมาย จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ระบบ E-commerce ต้องรองรับกับทุก Mobile Device ซึ่งอาจจะเป็นการ Design แบบ Responsive หรือพัฒนาระบบแบบ  Native Application อย่าง Android และ IOS

อันดับที่ 5  40% Product Content & Management tool  สิ่งสำคัญของการขายของ คือ สินค้า  หากมีระบบจัดการข้อมูลสินค้า การตั้งราคาสินค้า  จัดโปรโมชั่น  เพิ่มรูป เพิ่มรายละเอียดสินค้า ได้เองโดยมี tool ใช้งานง่ายไม่ต้องพึง IT จึงมีความสำคัญแก่ระบบ E-com  เป็นอันดับที่ 4

อันดับที่ 6  36% Integration of Multiple Selling Channel  การขายของไม่จำเป็นต้องผ่านแค่ Website อย่างเดียว Social Commerce เป็นสิ่งที่ช่วยในการขาย อีกช่องทางที่มีประสิทธิภาพ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ตรงเป้าหมายและได้ปริมาณจำนวนมาก

อับดับสุดท้าย 24% หลังจากระบบขึ้นไปแล้ว ใช้งานแล้ว สิ่งสำคัญต่อไป คือ การ Maintenance และ บริหารจัดการ Web site ในทุกแง่มุม ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนที่ละเลยไม่ได้  Website ควรจะต้องใช้งานได้ 24/7 ,รองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก, ปลอดภัยในการทำธุรกรรมและข้อมูลต่างๆ รวมทั้งต้องใช้งานได้รวดเร็ว

“From concept to Commerce

   “Can it really happen in less than 120 days ?”

        Cost-Effectively And Better Online store are made with Our Stream Solution.

จากข้อมูลทั้งหมด ทุกอันดับความต้องการจากมุมมองผู้บริหารธุรกิจ B2B ทาง Stream IT Consulting มี Solution ที่ตอบโจทย์ Commerce ทาง B2B ได้อย่างครบถ้วน อย่างแน่นอน

mProfile

สนใจที่จะใช้บริการ สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

เขียนและเรียบเรียงโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

0 0 Continue Reading →

สตรีมได้รับ Magento 2 Certificate ที่แรกของไทย!!!

Stream it passed the magento 2 training solution partner

บริษัท สตรีม ไอ.ที. คอนซัลติ้ง จำกัด เป็น Partner หนึ่งเดียวของไทยที่ Magento กล้าการันตีว่าเราเป็นผู้เชี่ยวชาญใน Magento e-commerce Platform และสตรีมได้รับ Magento 2 Training Certificate อย่างเป็นทางการ

  • เราคือผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนา Magento 2 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ถ้าคุณให้ทีมงานของเราพัฒนาระบบ e-commerce เพื่อใช้ในธุรกิจ  คุณจะได้ระบบที่มีคุณภาพ ใช้งานได้จริง และสามารถสร้างกำไรให้กับธุรกิจของคุณได้เป็นอย่างดี
  • ลูกค้าส่วนใหญ่ได้ให้ความไว้วางใจเรา

Magento 2 Trained program ทำอะไรบ้าง?

Requirement:

1.Front End developer หนึ่งคน ต้องลงทะเบียนและเรียนรู้ในหัวข้อต่างๆของคอร์ส Core Principles for Theming in Magento 2.

2.Developer สองคน ต้องลงทะเบียนและ ดูทั้ง 5 Training module สำหรับ Fundamentals of Magento 2 Development ให้จบ.

Process:
– Developer จะต้องลงทะเบียนเรียนคอร์ส Fundamentals ของ Magento 2 ให้ครบทุกบท

-เราจะใช้ Developer หนึ่งคนในการลงทะเบียน Magento 2 Trained Partner จากหน้านี้ คลิกดูลิงค์เพิ่มเติม หลังจากเราได้เรียนบทเรียนครบหมดแล้ว ลงทะเบียนเสร็จเราจะสามารถเข้าถึงกิจกกรมผ่านทางMagento U

Course activities included
– Developer ที่ลงทะเบียนเรียนจะต้องทำแบบทดสอบให้เสร็จตรงตามที่กำหนดไว้ และทำการส่งให้ทางผู้จัดคอร์สเรียนเพื่อทำการตรวจต่อไป
– Developer ที่ลงทะเบียนทุกคนจะต้องทำแบบสำรวจความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเรียน Fundamentals ของ Magento 2 ให้เสร็จสมบูรณ์ในแต่ละบท

 

Prawit SaraphanKanyarat Povorasin

เขียนโดย Magento Team @ Stream I.T Consulting Ltd.

0 0 Continue Reading →

How to install Magento CE 2 and Sample Data

How to install Magento CE 2 and Sample Data

Screen Shot 2559-03-23 at 3.35.06 PM

Magento Community Edition 2.0.2

สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาแนะนำวิธีการติดตั้ง  Magento CE 2  ที่แสนง่ายดายนะครับ เมื่อไม่นานมานี้ทางผู้พัฒนา eCommerce  รายใหญ่อย่าง Magento  ได้ปล่อยซอฟแวร์ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ล่าสุดชื่อว่า Magento Community Edition 2.0  ให้ดาวโหลดแล้วในหน้า  เว็บไซต์ของ Magento  ซึ่งได้ออกแบบและปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนาใหม่ทั้งหมด ส่งผลดีต่อระบบคือ ความเร็วเพิ่มขึ้น ใช้หน่วยความจำน้อยลง ที่สำคัญคือเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยดีกว่าเดิม จากนั้นก็พัฒนาแก้ไขข้อผิดพลาดที่พบในขณะใช้งานจากนักพัฒนาทั่วโลก ปรับให้รองรับการทำงานบน PHP 7 ทำให้มีการอัพเดทซอฟแวร์เป็นเวอร์ชั่น 2.0.1 และภายหลังอาทิตย์เดียวก็มีการออกเวอร์ชั่น 2.0.2  เพื่อแก้ไขปัญหาของการอัพเดท แต่ไม่ได้แก่ไขบัคใดๆ  ผมขอใช้เวอร์ชั่นล่าสุดในการติดตั้งนะครับ

Screen Shot 2559-03-23 at 3.35.31 PM

Guide line

 

  • เลือกวิธีการติดตั้งที่คุณต้องการ
  • เลือกติดตั้งแบบไหนดี ?
    การติดตั้ง Magento CE 2.0.2  สามารถเลือกติดตั้งได้ 2 วิธีไดเแก้
  • กรณีที่ไม่ติดตั้ง Sample Data  เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วจะมีเพียงระบบเท่านั้น จะไม่มีตัวอย่างสินค้าในระบบครับ แต่วิธีการติดตั้งไม่ต้องพิมพ์คำสั่ง  Command line ครับข้อดีคือ ไฟล์ดาวโหลดมีขนาดเล็ก
  • กรณีติดตั้ง Sample Data  ทดสอบที่ทางผู้พัฒนาให้มากับซอฟแวร์ครับ  เป็นข้อมูลร้านค้าขายสินค้าชื่อว่า  Luma  เมื่อเลือกติดตั้งแบบ Sample Data แล้วจะมีหน้าร้านเป็น Luma  เลยครับสามารถทดสอบใช้งานระบบได้ทันที แต่การติดตั้งมีการใช้คำสั่ง Comand line นิดหน่อยนะครับ  ข้อเสียคือ ไฟล์ที่ดาวโหลดมีขนาดใหญ่ครับ

 

    • ดาวโหลด Magento CE 2.0.2
      คุณสามารถเข้าไปเลือกดาวโหลดได้จากเว็บไซต์ของผู้พัฒนาเลยครับ  คลิกเพื่อดาวโหลด  โดยเลือกดาวโหลดได้ทั้งแบบไม่ต้องมี Sample Data  และมี  Sample Data  แต่ขนาดไฟล์ก็จะแตกต่างกันไปครับ แนะนำให้ดาวโหลดไปไฟล์ zip นะครับ

Screen Shot 2559-03-23 at 3.36.28 PM

 

  • ความต้องการของระบบก่อนทำการติดตั้ง Magento CE 2.0.2  ควรเช็คว่าซอฟแวร์ต้องการอะไรบ้าง เพื่อความถูกต้องและสมบูรณ์ของระบบ

 

    • ระบบปฏิบัติการ :  Linux distributions such as RedHat Enterprise Linux(RHEL), CentOS, Ubuntu, Debian และอื่นๆ
      • โน๊ต :  ผู้เขียนใช้  Linux ubuntu 14.04
    • Apache 2.2 หรือสูงกว่า
      • โน๊ต :  ผู้เขียนใช้  apache 2.2
    • PHP 5.5.X ,  PHP 5.6.x , หรือสูงกว่า
      • โน๊ต :  Magento CE 2  ไม่รองรับ  PHP  5.4
      • โน๊ต :  ผู้เขียนใช้  PHP 7
    • PHP Extensions ที่จำเป็น
      • PDO/MySQL
      • mbstring
      • mcrypt
      • mhash
      • simplexml
      • curl
      • gd2, imageMagick  6.3.7 หรือมากกว่า
      • soap
      • intl
      • bc-math
      • openssl
    • MySQL 5.6.x
      • โน๊ต : ผู้เขียนใช้  MySQL 5.6.28
    • Composer  1.x  
      • โน๊ต :  composer มีไว้เพื่อใช้ในการดาวโหลด  Package หรือ library  ที่จำเป็นของระบบจากแหล่งต่างๆ ที่ถูกกำหนดไว้ในไฟล์ composer.json
    • Mail Transfer Agent (MTA) หรือ SMTP Server
    • ไม่บังคับแต่ควรมีไว้
      • php_xdebug 2.2.x  เพื่อใช้ในการ Debug เวลาพัฒนา  Extensions ร่วมกับ  Magento CE 2
      • PHPUnit 4.1.x  เพื่อใช้ในการเขียน Unit test

 

  • ติดตั้ง  Magento CE 2.0.2

    เมื่อคุณตรวจสอบความถูกตามที่ระบบต้องการเสร็จสมบูรณ์แล้ว สามารถทำตามขั้นตอนการติดตั้งดังต่อไปนี้ได้เลยครับ

 

ทำการ Extract file Zip  ที่ดาวโหลดมาและ  Copy  ไปวางไว้ที่  Web root  ของผู้เขียนจะอยู่ที่  var/www/html/

Screen Shot 2559-03-23 at 3.37.24 PM

    • สร้างฐานข้อมูล

Screen Shot 2559-03-23 at 3.38.13 PM

    • Composer install  และ Deploy  Sample Data

Composer Install
เปิด  Command Line  ขึ้นมาจากนั้นก็เข้าไปในตำแหน่งในโฟล์เดอร์ของ Package ใน  Web root  ถ้าเป็น Linux  อย่าลืมเปลี่ยนผู้ใช้งานเป็น  root ด้วยนะครับ จากนั้นพิมพ์คำสั่ง
php composer.phar  install

Screen Shot 2559-03-23 at 3.38.47 PM

      • จากนั้น Composer จะไปตรวจสอบเวอร์ชั่นของ Library และดาวโหลด  Library  มาไว้ใน  Package  หากไม่มีการแก้ไขเวอร์ชั่น ก็จะไม่ดาวโหลดลงมาแบบตัวอย่าง

Deploy Sample Data
เพื่อไปตรวจเช็คและอัพเดทข้อมูล  Sample Data  จากเว็บหลักของ Magento  ต้องแน่ใจก่อนว่าคุณทำถูกวิธี  ดูคำอธิบายเพิ่มเติม  นอกจากนั้นคุณจะต้องสร้าง Authentication Key  และนำมาใช้ในการ  Composer Add Key   และท้ายสุดก็สามารถทำการ  deploy  ได้ครับ
php bin/magento sampledata:deploy

Screen Shot 2559-03-23 at 3.39.13 PM

    • ติดตั้ง Magento มีทั้งหมด  7  ขั้นตอน

      ใช้โปรแกรม web browser ที่คุณใช้เป็นประจำ ระบุ  URL  ไปที่ตำแหน่งที่คุณวาง Package  ไว้ใน Web Server  ผู้เขียนใช้  127.0.0.1/mage2  นะครับ

      • ขั้นตอนที่ 1  :  Agree and Setup เป็นหน้าแรกสำหรับการติดตั้ง กดปุ่ม Agrea and Setup Magento เพื่อสู่ขั้นตอนต่อไป

 

Screen Shot 2559-03-23 at 3.40.14 PM

 

      • ขั้นตอนที่ 2  :  ตรวจสอบความถูกต้องของระบบก่อนติดตั้ง  หากผ่านทุกขั้นตอนคลิกปุ่ม Next เพื่อไปสู่ขั้นตอนต่อไป

Screen Shot 2559-03-23 at 3.40.48 PM

      • ขั้นตอนที่ 3 :  ติดตั้งฐานข้อมูล เมื่อตั้งค่าเสร็จแล้วคลิกปุ่ม Next เพื่อสู่ขั้นตอนต่อไป
        • Database Server Host :  กรอกชื่อ หรือ IP ของโฮสต์ ค่าเริ่มต้นคือ  localhost
        • Database Server Username :  กรอกชื่อผู้ใช้งาน ค่าเริ่มต้นคือ root
        • Database Server Password :  กรอกรหัสผู้ใช้งาน
        • Database Name :  กรอกชื่อฐานข้อมูล
        • Table prefix :  กรอกคำนำหน้าตาราง (สามารถเว้นว่างได้)

 

Screen Shot 2559-03-23 at 3.41.25 PM

      • ขั้นตอนที่ 4  :  ตั้งค่าเว็บไซต์  เมื่อตั้งค่าเสร็จแล้วคลิกปุ่ม Next เพื่อสู่ขั้นตอนต่อไป
        • Your Store Address : คือ url ของเว็บไซต์หน้าบ้านสำหรับลูกค้า
        • Magento Admin Address : คือ url ของเว็บไซต์หลังบ้านสำหรับผู้ดูแลระบบ

 

Screen Shot 2559-03-23 at 3.41.54 PM

 

      • ขั้นตอนที่ 5  :  ตั้งค่าโซนเวลา ภาษา และสกุลเงิน  เมื่อตั้งค่าเสร็จแล้วคลิกปุ่ม Next เพื่อสู่ขั้นตอนต่อไป
        • Store Default Time Zone :  เลือกโซนเวลาที่ใช้ภายในร้านค้า
        • Store Default Currency  :  เลือกสกุลเงินที่ใช้ภายในร้านค้า
        • Store Default Language :  เลือกภาษาที่ใช้ภายในร้านค้า

Screen Shot 2559-03-23 at 3.42.31 PM

 

      • ขั้นตอนที่ 6  :  ตั้งค่าร้านค้า เมื่อตั้งค่าเสร็จแล้วคลิกปุ่ม Next เพื่อสู่ขั้นตอนต่อไป
        • New Username :  กรอกรหัสผู้ใช้สำหรับผู้ดูแลระบบ
        • New Email :  กรอกอีเมล์ผู้ใช้งาน
        • New Password : กรอกรหัสผ่านผู้ใช้งาน
        • Confirm Password : กรอกยืนยันรหัสผ่านผู้ใช้งาน

Screen Shot 2559-03-23 at 3.43.09 PM

      • ขั้นตอนที่ 7  :  ติดตั้งระบบใช้เวลาไม่นาน หากติดตั้งใน Linux  แนะนำให้  Change Permission Package ก่อนเพื่ออนุญาตให้ระบบสามารถอ่านไฟล์และเขียนไฟล์ได้

 

Screen Shot 2559-03-23 at 3.43.40 PM

เมื่อติดตั้งเสร็จสมบูรณ์จะแสดงผลลัพธ์แบบนี้ ระบบจะแจ้งสิ่งที่จำเป็นในการเรียกใช้งานระบบทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน คุณควรจดจำให้ดี แนะนำให้เขียนใส่โน๊ตไว้เพื่อป้องกันลืมครับ

 

Screen Shot 2559-03-23 at 3.44.11 PM

    • ตัวอย่างหน้าร้าน LUMA

Screen Shot 2559-03-23 at 3.45.01 PM

 

    • ตัวอย่างหลังหลังบ้าน Admin login

 

Screen Shot 2559-03-23 at 3.45.31 PM

 

Prawit Saraphan

ขอขอบคุณภาพประกอบภาพที่ 1 จากเว็บไซต์ magento
เขียนและเรียบเรียงโดย  Prawit Saraphan

 

0 0 Continue Reading →

Magento 2.0 – What’s new?

Magento 2.0

Magento 2.0 – What’s new?

Next Generation Digital Commerce Platform

มีข้อสงสัยกันเข้ามามากเกี่ยวกับ Magento 2.0 ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เร็วขึ้นมั้ย รองรับเทคโนโลยีอะไรบ้าง UI ละ แล้ว Framework เปลี่ยนมั้ย เลิกใช้ prototype หรือยัง Theme สวยมั้ย และจะพัฒนาต่อไปในทิศทางไหน โน่น นี่ นั่น บลา บลา บลา วันนี้เรามาลองดูกันครับ

ก่อนอื่น ผู้อ่านหลายๆ ท่านน่าจะทราบอยู่แล้วว่า Magento เป็น eCommerce Solution ที่อยู่ในกลุ่มผู้นำของตลาด ทั้ง Open Source และ Enterprise เดี๋ยวเราลองมาสรุปภาพรวมของ Magento โดยคร่าวๆกันก่อน

  • Magento เริ่มต้นพัฒนาในปี 2007 โดย Varian Inc.
  • 2008 Beta Software ชุดแรกถูกส่งออกมา
  • 2010 eBay Inc. เข้ามาสนับสนุนโดยถือหุ้น 49% 1
  • 2011 ถูกซื้อเข้าไปอยู่ใน eBay Inc.
  • 2015 Magento ถูกควบรวมโดย Permira Funds 2
  • 2015 Official launch Magento 2.0

Magento 2 / A New Era Of Commerce Innovation 3

ใน blog ของ magento เอง ได้กล่าวไว้ว่า Magento 2.0 เป็น Next Generation Digital Commerce Platform ที่จะมาช่วยใน การส่งเสริมตราสินค้า, การค้าปลีก หรือ การทำธุรกิจ ทั้งแบบ B2C และ B2B โดยมุ่งเน้นไปที่ความรวดเร็วในการส่งมอบ และความคุ้มค่าของการลงทุน บนระบบ digital commerce ในแบบ Omnichannel

Magento 2.0 ยังคงเพิ่มความสามารถในการทำงานได้รวดเร็วขึ้น, มีความสามารถใหม่ๆที่จะช่วยในการเพิ่มยอดขาย อีกทั้งมีการเพิ่มคุณภาพของตัวระบบ Magento 2.0 เองด้วย

Magento 2.0 ยังคงมี 2 เวอร์ขั่นให้เลือกใช้เช่นเดิม คือ Magento Enterprise Edition 2.0 และ Magento Community Edition 2.0

Enterprise-grade Scalability and Performance

ใน Magento 2.0 ความเร็วในการโหลดหน้าเวปจะเร็วขึ้นราวๆ 50% ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ Magento 2.0 ใส่ Vanish มาให้ตั้งแต่ on-the-shelf Software เลย นอกจากนี้ Admin Panel ก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น รองรับการทำงานของผู้ดูแลระบบได้พร้อมๆกันได้มากขึ้น

Secure Payments

Magento 2.0 มาพร้อมกับระบบการจ่ายเงินของ Paypal, Braintree และ Authorize.net และ Magento Enterprise Edition 2.0 ยังรอบรับ Worldpay และ CyberSource เพิ่มขึ้นอีก

ระบบ security ที่ดีของ Magento 2.0 ยังมีผลให้ การขอ PCI compliance ทำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

New default theme and admin GUI

บน Magento 2.0 มีการใช้ Frontend theme ใหม่ codename “Luma” ซึ่งเน้นมุมมองที่สะอาด แต่เตะตา มีการเปลี่ยนแปลงจาก Magento 1 – Madison Island theme พอสมควรทั้งทางด้านโครงสร้างภาพบนหน้าจอ การรองรับ Responsive แบบสมบูรณ์กว่าเดิม และความเร็วที่เพิ่มขึ้น

magento 2.0

ในด้าน Admin Panel ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก เน้นการใช้งานที่ง่ายขึ้น การตอบโต้ระหว่างผู้ใช้กับระบบทันสมัยมากขึ้น

Magento 2.0

No more Prototype

จากวันที่ Magento เริ่มพัฒนา ในวันนั้น jQuery ยังคงไม่แข็งแรงพอที่จะถูกเลือกมาใช้งาน ในวันนั้น Prototype จึงถูกเลือกมาใช้งานเป็น JavaScript framework หลัก และยังคงถูกใช้งานเป็นหลักใน Magento 1 จนวันนี้ Magento 2.0 ได้ก้าวออกมาและได้ใช้ jQuery เป็นตัวหลักแทน (เย้ เย้ เย้ ขอเสียงปรบมือด้วยครับ)

magento

Magento 2.0 Roadmap

การที่ Magento มี roadmap ที่ชัดเจน มีผลให้การ implement ระบบ eCommerce ทำได้ดียิ่งขึ้น เพราะในยุค digital ปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีต่างๆค่อนข้างเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ตัวผู้ค้าเองก็ต้องมีการวางแผนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน หัวข้อหลักๆที่น่าสนใจ

  • Elasticsearch support
  • Content staging
  • B2B specific enhancements
  • Personalization capabilities
  • Enhanced analytics capabilities
  • and much, much more.

Magento 2.0 อยู่บน github แล้วนะครับ

https://github.com/magento/magento2

Magento Enterprise Edition 2.0 Pricing Model

อาจจะไม่สามารถลงรายละเอียดของ Pricing Model ตรงนี้ได้ แต่คงกล่าวได้ว่า Magento Enterprise Edition 2.0 มีการเปลี่ยน Pricing Model จากเดิม (per instance) โดยราคา license จะเปลี่ยนไปโดยอิงกับยอดขายสินค้าเป็นหลัก4 ร้านค้าที่ยอดขายน้อย ค่า license อาจจะถูกกว่าร้านค้าที่มียอดขายมาก ราคาดังกล่าวสามารถแข่งกับ Enterprise eCommerce Platform อื่นๆได้อย่างแน่นอน หากท่านมีความสนใจที่จะใช้บริการ สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย5

stream magento

0 0 Continue Reading →

มาทำความรู้จักกับ Robot Framework เบื้องต้น

มาทำความรู้จักกับ Robot Framework เบื้องต้น

ว่าด้วยเรื่องของการทำ Acceptance Testing หรือการทดสอบการทำงานของระบบที่สร้างขึ้น ให้ง่ายและรวดเร็วด้วยการทำ Automate Testing นั้น Framework ที่น่าสนใจตัวหนึ่งคือ Robot Framework

Robot Framework คือซอฟต์แวร์ Open Source ที่ สำหรับการทำ Acceptance Testing และ ATDD (Acceptance Test-Driven Development) โดยมีรูปแบบ Syntax ที่เป็นภาษาเขียนธรรมดาทำให้การ Test ระบบไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

 

สิ่งที่จะต้องใช้ในการติดตั้ง Robot Framework

  • Python Version 2.xx
  • Pip
  • Subline Text Version 2 หรือ 3
  • Web Browser : Firefox
  • อินเตอร์เน็ต

 

  • การใช้งาน

ก่อนอื่นต้องทำการติดตั้ง Selenium WebDriver กันก่อน ซึ่ง Robot Framework มี Library ที่เป็น Standard มาให้อยู่แล้ว ชื่อว่า Selenium2Library ด้วยคำสั่ง

$pip install robotframework-selenium2library

โครงสร้างหลักใน Robot Framework

 

Screen Shot 2559-02-17 at 2.02.25 PM

1.1 Settings ในส่วนนี้จะเป็นการกำหนด Library ที่เราต้องการจะหยิบ Keyword ใน Library ไหนมาใช้งาน ซึ่ง Library เปรียบเสมือน Dictionary ที่รวมเอา Keyword ทั้งหมดที่จะนำไปเขียนคำสั่ง Test แบ่งเป็น Library Standard, External และ Other

 

Screen Shot 2559-02-17 at 2.03.17 PM

Screen Shot 2559-02-17 at 2.03.50 PM

Screen Shot 2559-02-17 at 2.04.22 PM

การกำหนด Library ที่จะใช้ ในที่นี้เลือกใช้ Standard Library

รูปแบบคำสั่ง

         Library           <<Library Name>>

         ตัวอย่าง

                  Library                Selenium2Library

Screen Shot 2559-02-17 at 2.05.12 PM

1.2 Keyword ในส่วนนี้จะใช้ในกรณีที่เราต้องการที่จะสร้าง Keyword ของเราขึ้นมาใช้งานเอง ซึ่งจะใช้ได้เฉพาะในไฟล์นี้เท่านั้น ซึ่งใน Keyword เราอาจจะสร้างชุดคำสั่งย่อย ๆ ขึ้นมาอีก

Screen Shot 2559-02-17 at 2.06.04 PM

Screen Shot 2559-02-17 at 2.06.35 PM

Screen Shot 2559-02-17 at 2.07.19 PM

Screen Shot 2559-02-17 at 2.07.43 PM

1.4 Test Cases คือส่วนของการเขียน Test Cases และการนำ Keyword มาเขียนเป็นชุดคำสั่งในส่วนนี้ ซึ่งสิ่งสำคัญในส่วนนี้คือ ชื่อ Test Cases เพราะไม่มีการตั้งชื่อให้กับ Test Cases ก็จะไม่สามารถ Run คำสั่งทั้งหมดในไฟล์นี้ได้

Screen Shot 2559-02-17 at 2.08.17 PM

Screen Shot 2559-02-17 at 2.08.54 PM

 

โครงสร้างที่สำคัญในการ Run Test Case คือ Setting และ Test Cases ซึ่งในการสร้างไฟล์สำหรับ Test ด้วย Robot ทุกครั้ง จะต้องมี 2 ส่วนนี้ มิฉะนั้น ก็จะไม่สามารถทำงานได้ ส่วน Keywords กับ Variables อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้

Keyword อื่น ๆ ของ Selenium2Library

เมื่อสร้างชุดคำสั่งตาม Stucture ดังภาพที่ 6 เรียบร้อยแล้วสร้างโฟลเดอร์ชื่อ Robot ไว้ในไดร์ฟ D: (หรือจะ Save ไว้ในไดร์ฟอื่นก็ได้) แล้วทำการ Save ไฟล์ Test.txt ไว้ในโฟล์เดอร์

Screen Shot 2559-02-17 at 2.09.33 PM

จากนั้นสั่ง Run ไฟล์ผ่าน Sublime ได้เลย โดยกดคีย์ Ctrl+B

Screen Shot 2559-02-17 at 2.10.08 PM

Screen Shot 2559-02-17 at 2.11.10 PM

Screen Shot 2559-02-17 at 2.11.55 PM

Screen Shot 2559-02-17 at 2.12.46 PM

Screen Shot 2559-02-17 at 2.13.28 PM

  • สรุปข้อดีของการทำ Automate Testing ด้วย Robot Framework
  1. ง่ายต่อการทำความเข้าใจ เพราะมีโครงสร้างการทำงานที่ไม่ซับซ้อน
  2. Keyword ที่ใช้ เป็นภาษาเขียน ที่เราใช้กันอยู่แล้ว
  3. สามารถ Test ระบบได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดเวลา

 

 

________________________________________________________________________

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับ Robot framework

________________________________________________________________________

เรียบเรียงโดย

ทัศนีย์ คัดเจริญ
Thasanee Kudcharoen
Quality Assurance

 

0 13 Continue Reading →

Line Pay with Magento

Line Pay with Magento

Line Pay เป็นเเพลตฟอร์มการชำระเงินผ่านมือถือที่ผูกกับบัตรเครดิต/เดบิต ใช้ชำระสินค้าแทนกระเป๋าเงิน ซึ่งสะดวกและปลอดภัยเพราะ Line Pay มีระบบ OTP และ Touch ID ในการยืนยันตัวตน

เเบ่งประเภทเป็น 2 ประเภท คือ ลูกค้า กับ ร้านค้า

 

1.วิธีการสมัครLine Pay ของลูกค้า

  • ลงทะเบียน Line pay via Line App

Screen Shot 2559-01-31 at 10.06.19 AM

  • เพิ่มบัตรเครดิต/เดบิต หลังจากกรอกแล้วครั้งต่อไปที่มีการชำระเงินก็ไม่ต้องใส่ข้อมูลบัตรทุกครั้ง บัตรที่สามารถใช้ได้ คือ VISA MASTER JCB เท่านั้น และสามารถใส่ข้อมูลบัตรได้ถึง3 ใบ ใน 1 account

Screen Shot 2559-01-31 at 10.07.10 AM

  • การชำระเงิน จะใช้บัตรเดบิต/เครดิต หรือการเติมเงินใส่Line pay ในการซื้อสินค้าหรือบริการกับร้านค้าที่ร่วมรายการ

Screen Shot 2559-01-31 at 10.07.45 AM

2.วิธีการเชื่อมต่อLine Payเข้ากับ Magentoหรือเข้ากับเว็บไซต์ร้านค้า

1.สมัครLine Pay ก่อนตามลิงค์นี้ https://pay.line.me/th/intro?locale=th_TH

1.1 คลิ๊กลงทะเบียน กรอกข้อมูลสมัครและส่งเอกสารให้เรียบร้อย

Screen Shot 2559-01-31 at 10.08.33 AM

Screen Shot 2559-01-31 at 10.09.16 AM

2.เมื่อทำการลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อย จะได้ username และ password มา

คลิ๊ก Mypage ในลิงค์นี้ https://pay.line.me/th/intro?locale=th_THแล้วจะมีให้Login

Screen Shot 2559-01-31 at 10.13.45 AM

3.เมื่อLogin เข้ามาแล้วจะเห็นเป็นหน้าจอแบบนี้ คลิ๊ก Manage Payment Server IP แล้วก็กรอกไอพีสำหรับจัดการPayment server

Screen Shot 2559-01-31 at 10.14.35 AM

4.คลิ๊กเลือก Manage Link Key แล้วใส่รหัสที่ได้รับจากLine Payที่ส่งเข้ามาในemail

Screen Shot 2559-01-31 at 10.15.12 AM

5.หลังจากใส่รหัสผ่านเสร็จก็จะเห็นChannel ID and Channel secret Key เก็บรหัสตรงนี้ไว้ จะได้รหัสมา2ชุด เป็น sandbox mode และ real modeจะนำรหัสตรงนี้ไปใส่ใน payment method

การติดตั้งLine Pay

1.ไปที่admin panel System -> Magento Connect -> Magento Connect Manager

Screen Shot 2559-01-31 at 10.15.44 AM

2.คลิ๊ก Plugin Download จาก https://pay.line.me/developers/magento/install?locale=th_TH

เลือกไฟล์ magento_0.7.0.tgz แล้วคลิก “Upload”

Screen Shot 2559-01-31 at 10.16.38 AM

3. คลิ๊กอัพโหลดจะแสดงหน้าจอด้านล่าง

Screen Shot 2559-01-31 at 10.19.17 AM

4. พอติดตั้งเสร็จแล้วไปที่admin panel -> system -> configuration ->Payment Method -> Line Pay แล้วเริ่มการใช้ enabled เป็น Yes กรอก Channel Info และ Development ที่ได้มาถ้าต้องการTest การชำระเงินให้เปิดโหมดsandbox เป็น yes

Screen Shot 2559-01-31 at 10.19.41 AM

5. หลังจากติดตั้งเสร็จเรียบร้อยเราก็สามารถที่จะเลือกช่องทางการชำระเงินเป็นLine Pay ได้ทางหน้าเว็บไซต์ของร้านค้าของMagento

Screen Shot 2559-01-31 at 10.20.16 AM Screen Shot 2559-01-31 at 10.20.25 AM

  • Login การชำระเงิน หรือใช้Smartphone scan QR code เพื่อชำระเงินสินค้า
  • ในกรณีเลือกการScan QR Code ลูกค้ายืนยันการซื้อด้วยLine Pay

 

 

  • พอชำระเงินเสร็จเรียบร้อยด้านหน้าเว็บไซต้ของร้านค้าก็จะเเสดงหน้าจอแบบนี้ขึ้นมา

Reference:http://www.click-end.com/wp/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A/#prettyPhoto

http://line.me/th/pay

https://pay.line.me/developers/magento/install?locale=th_TH

 

 

Kanyarat Povorasin

เรียบเรียงโดย

กัญญารัตน์ โพธิ์วรสิน

Kanyarat Povorasin

Magento Certified Developer Plus

https://www.magentocommerce.com/certification/directory/dev/2133171/

 

0 0 Continue Reading →

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายการใช้คุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save