Skip to Content

Category Archives: Blog

เจาะลึกทุก Social Media แพลตฟอร์มไหนเหมาะกับสินค้าอะไร ไปดู

อินเทอร์เน็ตมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ช่วยให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ และหนึ่งในสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้นก็คือ Social Media นี่แหละครับ มันช่วยให้คนเราติดต่อสื่อสารกันง่ายขึ้น ไม่ต้องเปลืองเงินโทรหากันอีกต่อไป และนอกจากเชื่อมโลกทั้งใบเข้าหากันแล้ว มันยังเป็นแหล่งธุรกิจที่ยอดเยี่ยมมากอีกด้วย ทั้งเข้าถึงคนได้ง่าย ทั้งไม่มีค่าใช้จ่าย แต่เพราะ Social Media แต่ละตัวก็มีกลุ่มผู้ใช้งานที่แตกต่างกันออกไป วันนี้เราเลยจะมาแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้รู้กันว่า สินค้าของคุณนั้นเหมาะที่จะขายหรือโปรโมทลงช่องทางไหนดี

 

1. Facebook

เรียกได้ว่าเป็นสุดยอด Social Media อันดับหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้นะครับ เพราะ Facebook นั้นมีผู้ใช้งานมากที่สุด ไล่ไปตั้งแต่เด็กยันคนแก่ เพราะเหตุนี้แหละทำให้ไม่ว่าจะขายสินค้าหรือบริการอะไร กลุ่มเป้าหมายจะอายุเท่าไหร่ Facebook ก็สามารถตอบโจทย์ได้อย่างตรงใจที่สุด เป็นช่องทางที่เหมาะสมกับการทำธุรกิจอย่างยิ่ง

 

2. Instagram

Social Media ตัวนี้จะเน้นไปที่รูปภาพหรือวิดีโอเป็นหลัก พร้อมด้วยแคปชั่นสั้น ๆ กระชับ ได้ใจความ ไม่เวิ่นเว้ออะไรมาก ดังนั้นสิ่งที่ควรโปรโมทบนแพลตฟอร์มนี้ที่สุดก็คือ พวกสินค้าแฟชั่นนี่แหละ เพราะเราสามารถโพสต์รูปภาพเท่ ๆ แนว ๆ ให้ลูกค้าดูได้เรื่อย ๆ แต่ใช่ว่าสินค้าและบริการแบบอื่นจะไม่สามารถเอามาลงได้นะครับ มันขึ้นอยู่กับการประยุกต์และคอนเทนต์ที่เราต้องการจะสื่อสารออกไปมากกว่า

3. Line

สุดยอดเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมาก ๆ อีกเครื่องมือหนึ่ง นั่นก็คือ Line นั่นเองครับ เชื่อเลยว่าคนไทยแทบทุกคนต้องมีเจ้าแอพพลิเคชันนี้ติดเครื่องไว้แน่นอน ซึ่งข้อดีของการตลาดช่องทางนี้ก็คือ มันสามารถยิงตรงข้อความ รูปภาพ หรือวิดีโอคลิปเข้าหาผู้ติดตามได้ทันที ทำให้ลูกค้ารับรู้ข่าวสารการอัพเดทของสินค้าและกิจกรรมต่าง ๆ ได้ก่อนใคร ถ้าเป็นคนที่มีสินค้าใหม่เข้ามาบ่อย ๆ และไม่อยากให้ลูกค้าพลาดของดีไป ช่องทางนี้เหมาะกับคุณสุด ๆ เลยล่ะ

4. Twitter

มาถึงเจ้านกน้อยตัวสีขาวพื้นหลังสีฟ้ากันบ้าง Social Media แพลตฟอร์มนี้เป็นที่อยู่อาศัยของวัยรุ่นจำนวนมาก เนื่องจาก Twitter เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการกระจายข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การสื่อสารและบอกต่อเป็นไปได้ง่าย ขอเพียงมีรูปภาพที่ดึงดูดตาดึงดูดใจ หรือมีแคปชั่นอะไรเจ๋ง ๆ ใส่เข้ามาให้ลูกค้าเห็น เค้าก็พร้อมจะรีทวีตไปให้ไกล ทำให้ได้ลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มแล้วล่ะครับ อ้อ แล้วก็อย่าลืมใช้งานฟังก์ชั่น # ของ Twitter ด้วยล่ะ เพราะมันจะทำให้คุณได้พบกับกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ และทำให้การโฆษณานั้นเค้าถึงคนจำนวนมากได้อย่างไม่ยากเย็นเลย

 

หากท่านใดสนใจทราบเคล็ดลับดี ๆ ทางด้านไอที เรามีโซลูชันมากมายที่ตอบโจทย์คุณ สามารถติดต่อเราได้ที่ marketing@stream.co.th หรือโทร 02-679-2233 ครับ

0 0 Continue Reading →

เคล็ดลับทำการตลาดออนไลน์ ชี้ช่องรวยง่าย ๆ ด้วย Video

คลิปวิดีโอเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่จะช่วยให้ธุรกิจของเราเป็นที่รู้จักได้มากยิ่งขึ้น เพราะประสิทธิภาพในการเข้าถึงคนหมู่มากของมันนั่นเองครับ ถ้าคลิปไหนปังขึ้นมา คนก็พร้อมจะแชร์กันไปยาว ๆ ทำให้ธุรกิจเล็ก ๆ บางรายโด่งดังขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน ด้วยเหตุนี้แหละครับที่ทำให้ใคร ๆ ก็พยายามจะสร้างไวรัลคลิปเป็นของตัวเอง ซึ่งบอกได้เลยว่าถ้าบวกกับวิธีทำการตลาดเหล่านี้เข้าไปด้วยนะ วิดีโอของคุณจะขายได้ขายดีจนสร้างกำไรให้คุณเป็นกอบเป็นกำเลยล่ะ

  1. ดูคลิปเสร็จแล้ว ต้องติดต่อได้สะดวก

ไหน ๆ เราก็คิดจะทำคลิปดี ๆ ขึ้นมาสักอันแล้วก็อย่าลืมช่องทางการติดต่อของตัวเองเอาไว้ด้วยนะครับ จะแปะลิงก์ลงไปพร้อมโพสต์ หรือฝังเอาไว้อยู่ในวิดีโอก็แล้วแต่ เพราะถ้าเราไม่มีช่องทางติดต่อตรงนี้ให้ คนดูคลิปเราเสร็จเค้าก็จะปิดไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าเรามีลิงก์สักหน่อย เค้าก็สามารถกดเข้ามาติดต่อเราโดยตรงได้ในทันที ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายให้เราได้มากเลยล่ะ

Contact Us

  1. โฆษณาผ่านช่องทาง Facebook

อย่าได้เสียดายเงินในการโฆษณาตรงนี้เลยนะครับ เพราะถ้าเรามัวแต่คิดมากกับมัน วิดีโอที่เราอุตส่าทุ่มทุนสร้างขึ้นมาก็อาจเข้าไม่ถึงผู้คนอย่างที่เราหวังไว้ และแสดงศักยภาพให้เห็นออกมาได้ไม่เต็มที่ แบบนี้ไม่คุ้มค่าเหนื่อย ค่าเสียเวลาแน่ ยิ่งตอนนี้ Facebook เค้าปรับอัตราการเข้าถึงให้เหลือต่ำกว่า 1% ยิ่งทำให้คนเห็นวิดีโอของเราน้อยลงไปใหญ่ เพราะฉะนั้นใช้งาน Facebook Ads เลยดีกว่าครับ เลือก Campaign Get Video views และหากลุ่มเป้าในการยิงโฆษณา รับรองใส่เงินไปเท่าไหร่ ยิ่งได้กำไรกลับคืนมาเป็นเท่าตัวเท่านั้นแหละ

 

  1. ใช้ของใกล้ตัว ไม่ต้องมัวหาซื้อใหม่

การทำไวรัลคลิปให้ประสบความสำเร็จได้ สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องไม่เสียเงินอะไรที่มันเกินจำเป็น บางคนอยากประสบความสำเร็จด้วยวิดีโอก็จ้างตากล้อง ซื้ออุปกรณ์ใหม่ราคาหลายหมื่นมาเพื่อถ่ายทำ ซึ่งพอใช้งานเสร็จก็เก็บไว้ไม่ได้หยิบมาใช้ต่ออีกเลย แบบนี้เรียกว่าฟุ่มเฟือย วิดีโอดี ๆ เกิดขึ้นจากแนวคิด การวางแผนที่ดีเท่านั้นครับ เพราะจริง ๆ แล้วกล้องมือถือธรรมดาทั่วไปก็สามารถสร้างสรรค์ไวรัลคลิปดี ๆ ได้แล้ว ถ้าเราลงทุนกับกล้องกับอุปกรณ์เยอะ บางทีกำไรที่ได้กลับมาหักลบทุกอย่างแล้วอาจจะไม่คุ้มกันก็ได้นะ เพราะฉะนั้นใช้ของใกล้ ๆ ตัวที่มีไปน่ะแหละครับดีแล้ว

 

นี่แหละครับ เคล็ดลับในการทำการตลาดด้วยวิดีโอ

หากท่านใดสนใจทราบเคล็ดลับดีๆ ทางด้านไอที เรามีโซลูชันมากมายที่ตอบโจทย์คุณ สามารถติดต่อเราได้ที่ marketing@stream.co.th หรือโทร 02-679-2233 ครับ

0 0 Continue Reading →

5 เรื่องต้องระวัง ก่อนลงมือทำธุรกิจออนไลน์ บอกเลยคนพลาดเพียบ

การมีธุรกิจออนไลน์เป็นของตัวเองเป็นอีกหนึ่งความใฝ่ฝันของคนสมัยนี้เลยนะครับ เพราะหลายคนมองเห็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ วัน ๆ ไม่ต้องทำอะไรรอคนเข้ามาสั่งของและนอนรับเงินแบบสบาย ๆ มีเวลา มีอิสระ มีเงิน จะเที่ยวไกลแค่ไหนก็ได้ พอเห็นแบบนี้หลาย ๆ คนก็กระโดดเข้ามาเริ่มทำธุรกิจออนไลน์ของตัวเองกันเต็มไปหมด โดยหวังว่าสักวันจะประสบความสำเร็จอย่างเค้าบ้าง แต่รู้มั้ยครับ ต่อให้ขยันและตั้งใจมากเพียงใด ถ้ายังคงทำ 5 ข้อนี้อยู่ ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ มาดูกันครับว่าอะไรบ้างที่ควรเลี่ยง

 

1. ใช้คอนเทนต์เดียว วนซ้ำอยู่ตลอด

ธุรกิจออนไลน์อยู่ได้ด้วยคอนเทนต์เลยนะ ถ้าคอนเทนต์ดี ความสำเร็จก็จะเข้ามาเร็ว แต่ถ้าคอนเทนต์นั้นดี และลงซ้ำอยู่บ่อย ๆ โดยไม่เปลี่ยน แบบนี้ลูกค้าก็จะเบื่อ เพราะเจอแต่ความรู้เดิม ๆ ซ้ำซาก เรื่องเดิม ๆ ไม่มีอะไรใหม่ จำเจ คอนเทนต์ดี ๆ รีรัน รีโพสต์ได้ครับ ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ก็ไม่ควรเอาใช้อยู่ทุกวันจนทำให้เกิดความรำคาญ

 

2. สร้างคอนเทนต์บนเรื่องละเอียดอ่อน

เพราะอารมณ์ขันของคนเรามันไม่เหมือนกัน บางอย่างเราอาจมองว่าเฉย ๆ แต่คนอื่นอาจจะมองว่ามันร้ายแรงเกินจะรับได้ก็ได้ ดังนั้นขอให้คิดก่อนที่จะสร้างสรรค์อะไรสักอย่าง คิดก่อนจะโพสต์ข้อความอะไรลงไป เพราะเมื่อไหร่ที่มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ความหวังดี หรือจุดขายที่เราคิดว่าคงจะช่วยให้ธุรกิจเราปังแน่ ๆ อาจกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจเราล้มละลายได้เลย

 

3. คิดแต่จะใช้ของดี ราคาถูก

การทำธุรกิจมันคือการลงทุนอยู่แล้วครับ ถ้าหวังว่าธุรกิจบนโลกออนไลน์จะสามารถตอบโจทย์ชีวิตที่ไม่ต้องใช้เงินได้ ขอบอกเลยว่าคิดผิดแล้ว จะใช้มากใช้น้อยอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน ถ้าเราขายสินค้าและจ้างคนที่ไม่มีฝีมือมาถ่ายรูปให้ เค้าก็คงถ่ายออกมาได้ไม่ดี สินค้าไม่น่าดึงดูด สุดท้ายพอโพสต์ไปก็ไม่มีใครสนใจ เทียบกับคู่แข่งที่ลงทุนจ้างตากล้องมืออาชีพมาถ่ายสินค้าในสตูดิโอให้ มีการแต่งสี แต่งภาพ แบบนี้เพื่อน ๆ คิดว่าใครจะประสบความสำเร็จกว่ากันล่ะครับ

 

4. ไม่รู้กลุ่มเป้าหมายของตัวเอง

อีกหนึ่งข้อผิดพลาดคือ คนชอบทำการตลาดกันออกไปโดยไม่กำหนดกลุ่มเป้าหมายเอาไว้ให้แน่นอน เจอคอนเทนต์อะไรก็เอามาแชร์ เอามาโพสต์ซะหมด ซึ่งนอกจากมันจะทำให้พื้นที่ของเรารกแล้ว ยังทำให้รบกวนต่อคนที่ติดตามเราด้วยนะครับ เนื่องจากมันไม่ใช่สิ่งที่เค้าสนใจ โพสต์บ่อย ๆ อาจทำให้เค้าเลิกติดตามได้เลยล่ะ

 

5. ทำงานช้า ไม่ทันกระแสอะไรสักอย่าง

เข้าใจว่ากระแสไวรัลของสังคมออนไลน์นั้นมาไวไปไวมาก แต่เชื่อมั้ยครับ ถ้าเราคว้ากระแสเหล่านั้นไว้ทัน และสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์กันได้ รับรองลูกค้าหน้าใหม่ ๆ เข้ามาหาเราเพียบ แต่ที่เห็นก็คือ หลายบริษัทอยากจะเล่นเรียลไทม์คอนเทนต์ แต่ดันทำช้าไปเป็นอาทิตย์ ๆ กว่าคอนเทนต์จะเสร็จ กว่าจะโพสต์ออกไป คนเค้าก็ลืมไปหมดแล้ว นอกจากคนดูจะไม่อิน ยังทำให้เค้ารู้สึกว่าธุรกิจและแบรนด์ของคุณเฉื่อยช้าอีกต่างหาก

หากท่านใดสนใจทราบเคล็ดลับดีๆ ทางด้านไอที เรามีโซลูชันมากมายที่ตอบโจทย์คุณ สามารถติดต่อเราได้ที่ marketing@stream.co.th หรือโทร 02-679-2233 ครับ

0 0 Continue Reading →

มือใหม่ต้องรู้กับ 3 กลยุทธ์บุกตลาดออนไลน์ แบบไม่เสียเงินเลยสักบาทเดียว

การทำธุรกิจออนไลน์สมัยนี้เป็นเรื่องที่ง่ายดายมากเลยนะครับ เพราะเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้น การเข้ามาของอินเทอร์เน็ตที่ทุกบ้านต้องมี ทำให้ธุรกิจออนไลน์ขยายวงกว้าง มีลูกค้าจำนวนมากรอใช้บริการ แต่เพราะทุกอย่างมันง่าย ใคร ๆ ก็เลยอยากทำ คู่แข่งของธุรกิจออนไลน์จึงเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวนั่นเอง และวันนี้ เพื่อให้เพื่อน ๆ ทุกคนสามารถทำธุรกิจออนไลน์ได้อย่างประสบความสำเร็จ เราจะมาบอกถึง 3 กลยุทธ์บุกตลาดออนไลน์ แบบไม่เสียเงินเลยสักบาทเดียว ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันเลย

 

  1. สร้างตัวตนผ่านคลิป

แน่นอนครับว่าการมีตัวตนจะทำให้ธุรกิจของคุณไปได้ไกลกว่าใครคนอื่น เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนจดจำเราได้ ก็จะยิ่งทำให้เค้ารู้จักสินค้าของเรามากขึ้น ซึ่งตัวตนตรงนี้เราทุกคนสามารถสร้างมันได้ง่าย ๆ ผ่านคลิปวิดีโอ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับอะไรก็ตาม ลองนึกดูครับว่าเราถนัดอะไร ชอบอะไร เก่งด้านไหน และทำวิดีโอสอนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นออกมา เหมือนอย่างหลาย ๆ คนที่ดังขึ้นมาจากการสร้างตัวตนผ่านคลิปตรงนี้ เช่น โมเมพาเพลิน เฟ็ดเฟ่ บี้เดอะสกา ทุกวันนี้เค้าเหล่านั้นเป็นที่จดจำของคนบนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไร ก็มีฐานแฟนคลับรอใช้บริการกันอย่างล้นหลามเลยล่ะครับ

 

  1. ใช้ Facebook Group ช่วยโปรโมท

Facebook Group เป็นอะไรที่คนไทยมองข้ามกันมาก แต่ต่างประเทศนี่เค้าใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างมากมายมหาศาลเลย เพราะเนื่องจาก Facebook เป็นสังคมออนไลน์ที่เปิดให้บริการฟรี ทำให้เราไม่ต้องเสียเงินเสียทองในการเข้าถึงคนจำนวนมาก อีกทั้งการเข้าร่วมกลุ่มต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเรานั้น ทำให้เราได้เจอกับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ ซึ่งตรงนี้แหละครับที่จะช่วยเราประหยัดเงินโฆษณาไปได้หลายหมื่นหลายแสนบาท

 

  1. Live ให้ดู เพิ่มความเป็นกันเองของลูกค้า

มาถึงกลยุทธ์สุดท้ายที่จะช่วยเพิ่มลูกค้าและยอดขายให้ธุรกิจออนไลน์ของเราได้แบบฉลุย ซึ่งก็คือ การใช้งาน Live นั่นเอง เดี๋ยวนี้แทบจะทุกแพลตฟอร์ม มีฟังก์ชันนี้กันหมดแล้วนะครับ ดังนั้นถ้าปกติเราใช้งานแพลตฟอร์มไหนเป็นหลักก็สามารถทำการ Live ได้ทันที โดยข้อดีของการ Live นั้นคือ มันทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ ทำให้เค้าเชื่อใจ และรู้สึกดีกับเรามากยิ่งขึ้น ซึ่งการ Live แต่ละครั้งนั้นอาจเป็นการพาไปดูขั้นตอนการผลิตสินค้าแบบที่ไม่มีใครเคยเห็น หรือเป็นการพูดคุยตอบข้อสงสัยที่ลูกค้าชอบถามกันมาบ่อย ๆ ก็ได้ ถ้ามีเวลาว่างอาจเปิดให้ลูกค้าสอบถามกันสด ๆ เลยยิ่งดี เพราะการสื่อสารแบบสองทางนี้จะทำให้เค้ารู้สึกว่าเรามีความใส่ใจต่อลูกค้าทุกคน ซึ่งจะส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นได้นั่นเอง

 

หากท่านใดสนใจทราบเคล็ดลับดี ๆ ทางด้านไอที เรามีโซลูชันมากมายที่ตอบโจทย์คุณ สามารถติดต่อเราได้ที่ marketing@stream.co.th หรือโทร 02-679-2233 ครับ

0 0 Continue Reading →

เมื่อสนามบินระดับท็อปอย่าง Frankfurt ใช้ซอฟแวร์ Magento Omnichannel

 

ในปี 2015 สนามบิน Frankfurt ประเทศเยอรมนี มีผู้โดยสารประมาณ 61 ล้านคน นับเป็นหนึ่งในสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และด้วยจำนวนผู้โดยสารที่มากมายนี้ ทำให้สนามบินมีจำนวนร้านค้าปลีก outlet มากกว่า 300 ร้าน สนามบิน Frankfurt จึงเป็นสวรรค์ของนักช้อปอีกด้วย

เมื่อบริษัท Fraport ที่ทำหน้าที่ขนส่งในสนามบิน ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการค้าเพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารมากกว่าล้านคน โดยการเพิ่มประสบการณ์มิติใหม่ให้แก่ผู้โดยสารตั้งแต่ลงเครื่อง เข้าต.ม. เข้าร้านอาหาร และทุกบริการภายในสนามบิน

บริษัท Fraport ต้องบริหารจัดการร้านค้าหลายร้อยร้าน จัดการ drop-ship บริหารจัดการคลังสินค้า รวมทั้งบริหารจัดการการขนส่งโดยเลือกใช้ Magento Commerce Platform ที่เป็นการเชื่อมต่อข้อมูลต่างๆ กับร้านค้าที่อยู่ภายในสนามบิน แต่การเชื่อมต่อกับระบบต่างๆ ของแต่ละร้านไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อนำระบบ Magento มาเชื่อมต่อกับซึ่งระบบทั้งหมดเหล่านั้น ทำให้เป็นระบบเดียวที่เป็นส่วนกลาง บางร้านใช้ระบบ ERP ของตัวเอง หรือถ้าหากบ้างร้านไม่มีระบบ ERP ก็จะใช้ ระบบ PIM ในการจัดการข้อมูลสินค้า

 

ในการเชื่อมต่อระบบที่แตกต่างกันหลายๆ ระบบ จะใช้ระบบ Enterprise Service Bus (ESB) เพื่อเป็นตัวกลางในการรับ-ส่งข้อมูลต่างๆ ระหว่างระบบ Magento และระบบร้านค้า นอกจากนี้ยังใช้ระบบ Order Management ของ Magento เพื่อบริหารจัดการคำสั่งซื้อ และเสริมด้วยระบบ Business Intelligence เพื่อช่วยในการวิเคราะห์

หลังจากขึ้นระบบทั้งหมดแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้คือผู้โดยสารที่มาสนามบิน Frankfurt ได้รับประสบการณ์ใหม่ พวกเขาสามารถซื้อสินค้าออนไลน์จากบนเครื่องบินหรือระหว่างทางที่มาสนามบิน และสามารถมารับของเองหรือเลือกจัดส่งสินค้าให้ไปรอตามจุดต่างๆ ทั้งในสนามบินหรือนอกสนามบินได้อีกด้วย

 

ทุกวันนี้สนามบิน Frankfurt กลายเป็นสนามบินที่ล้ำหน้ามากที่สุด ด้วยการทำ Omnichannel ที่เชื่อมต่อข้อมูลทั้งข้อมูลสินค้า สต๊อกสินค้าและคำสั่งซื้อของร้านค้าทั้งหมด ซึ่งลูกค้าสามารถซื้อได้ผ่าน website, kiosk , mobile app, หรือหน้าร้าน ทำให้ลูกค้าไม่ใช่แค่ผู้โดยสารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงลูกค้าภายนอกที่ต้องการซื้อสินค้าจากสนามบินด้วย

ผลลัพธ์เหล่านี้พิสูจน์แล้วว่า Magento สามารถทำให้เรื่องยากในการบริหารจัดการธุรกิจ เป็นจริงขึ้นมาได้

หากสนใจซอฟแวร์ Magento สามารถติดต่อได้ที่ marketing@stream.co.th หรือโทร 02-679-2233 เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

 

ที่มา:https://magento.com/customers/fraport

แปลและเรียบเรียงโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

 

 

0 0 Continue Reading →

4 อุปสรรคที่ดึงยอดขาย E-Commerce

คนที่ทำ E-Commerce น่าจะเคยเจอปัญหาว่า ทำไมยอดขายยังไม่กระเตื้อง ทั้งๆ ที่ทำการตลาดก็แล้ว ลงโฆษณาก็แล้ว คนเข้ามาชมเว็บไซต์ก็ไม่น้อย แต่เหตุใดไม่ค่อยมีใครซื้อสินค้า เรามาดูกันดีกว่าครับว่า สาเหตุหลักๆ 4 ข้อที่ดึงยอดขายไม่ให้เติบโตอย่างที่ควร มีอะไรบ้าง

 

 

อันดับที่ 1: 54%  เนื่องจากสินค้าหรือบริการที่ต้องขายพร้อมกับสินค้าหรือบริการของบริษัทอื่นด้วย ลองนึกดูว่า ถ้าลูกค้าซื้อสินค้าของเราและต้องซื้อสินค้าหรือบริการจากบริษัทอื่นด้วยถึงจะใช้งานได้  ซื้อครั้งเดียวไม่จบ ต้องไปหาซื้อสินค้าหรือบริการอื่นอีก จะยุ่งยากแค่ไหน  ถ้าหากใครกำลังมีสินค้าหรือบริการแบบนี้อยู่ แนะนำว่าควรเปลี่ยนสินค้าหรือบริการดีกว่า  หรือถ้าหากไม่เปลี่ยน ควรจะขายเป็น group product หรือ bundle ไปเลย เพื่อความสะดวกแก่ลูกค้า

 

อันดับที่ 2: 42%  เนื่องจากสินค้าหรือบริการมีผู้ขายหลายราย เหมือนกับ e-marketplace ทั่วไป ถึงแม้ว่าจะมีสินค้าให้เลือกหลากหลายชนิด  หลากหลายผู้ขาย แต่ด้วยจำนวนสินค้าที่มากมาย ทำให้เจ้าของ marketplace ไม่สามารถตรวจคุณภาพสินค้าได้ทั่วถึง จึงเกิดปัญหาหลายอย่าง เช่น  สินค้าปลอม  สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ สินค้าหมดอายุ สินค้ามีตำหนิ เมื่อลูกค้าสั่งซื้อแล้วและไม่เห็นของก่อนซื้อ จึงมีปัญหาเกิดขึ้นภายหลัง ทำให้ลูกค้าหมดความเชื่อถือ marketplace นั้น ไปและไม่กลับมาซื้อสินค้าอีก จึงทำให้เป็นสาเหตุที่ทำให้ยอดขายตกลง

 

อันดับที่ 3: 41%  เนื่องจากสินค้าหรือบริการมีความซับซ้อนเกินไป  เข้าใจยาก มีเงื่อนไขมากมาย วิธีการใช้ยุ่งยาก พิสดารไม่เหมือนสินค้าทั่วไป อาจจะทำให้ลูกค้าเกิดความสับสน หรือไม่กล้าที่จะซื้อสินค้าหรือบริการนั้น คุณอาจจะต้องใส่ข้อมูล รายละเอียดลงไป หรือมีวิดีโออธิบายสินค้า การใช้งาน และควรจะมี live chat หรือ call center เพื่อคอยบริการให้คำปรึกษา แนะนำสินค้า เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจสินค้าหรือบริการ ปลอดภัยที่จะซื้อสินค้าหรือบริการนั้นๆ

 

อันดับที่ 4: 31% เนื่องจากราคาสินค้าหรือบริการแต่ละครั้งไม่เท่ากัน อาจจะทำให้ลูกค้าสับสน ซื้อครั้งหนึ่ง ราคานึง  อีกครั้งราคาต่างกันทั้งที่ สินค้าเหมือนกัน จำนวนเท่ากัน ขนส่งไปที่เดียวกัน จนทำให้ลูกค้ามีความรู้สึกไม่มั่นใจในระบบ และตัวสินค้าหรือบริการ คุณอาจจะต้องมีหมายเหตุแสดงให้แก่ลูกค้า ว่าทำไมจึงราคาแตกต่างกัน อาจจะเป็นเพราะราคาสินค้าขึ้น การขนส่ง หรือวิธีการชำระเงินเปลี่ยนรูปแบบไป ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น สิ่งเหล่านี้ควรแจ้งแก่ลูกค้าให้ชัดเจน เพื่อลดความสับสนและเพิ่มความมั่นใจให้แก่ลูกค้า

 

สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเราที่ marketing@stream.co.th หรือโทร 02-679-2233 เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

แปลและเรียบเรียงโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

0 0 Continue Reading →

5 อันดับ Ecommerce Platform ที่เหมาะสำหรับการทำ SEO

         ทำไม SEO ถึงมีความสำคัญกับ e-commerce? เพราะว่า 44% ของผู้ใช้งานที่เข้ามาซื้อสินค้าออนไลน์ ล้วนมาจากการค้นหาผ่าน search engine ซึ่งนั่นหมายความว่าสินค้าของคุณจะมีโอกาสค้นหาเจอได้ง่ายขึ้น ทำให้ขายได้ง่ายขึ้นด้วย

          เจ้าของธุรกิจหลายรายที่อาจจะไม่ทราบว่า e-commerce platform ที่ใช้อยู่นั้น ไม่ได้มีคุณลักษณะที่จำเป็นเพียงพอต่อการทำ SEO เพราะโปรแกรม e-commerce บางตัวก็มีเพียงฟีเจอร์พื้นฐานสำหรับการทำ SEO มาให้เท่านั้น สำหรับฟีเจอร์อื่นๆ ที่จำเป็นก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยทาง RICHMAN  ได้ให้คะแนนและจัดลำดับคะแนนสำหรับ e-commerce platform ดังนี้

ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการจัดอันดับ SEO

1.Independent Navigation Links  คะแนน 10/10

Navigation Link คือ รายชื่อเมนูเพื่อเข้าถึงสินค้าหรือหมวดหมู่ของสินค้า โดย e-commerce บางเจ้าจะสร้าง  Navigation link โดยใช้ชื่อเดียวกับชื่อสินค้าและหมวดหมู่ของสินค้าให้อัตโนมัติ

2.Independent Page Titles   คะแนน 10/10

Page Title เป็นส่วนที่แสดงอยู่บน title bar ของบราวเซอร์ โดยแสดงหัวเรื่องของหน้านั้นๆ ซึ่ง e-commerce บางเจ้าจะสร้าง  Page Title โดยใช้ชื่อเดียวกับชื่อสินค้าและหมวดหมู่ของสินค้าให้อัตโนมัติ

 

 

3.Independent Page URLs   คะแนน 9/10

การตั้งชื่อ Page URLs คือส่วนที่แสดงที่อยู่ของ page นั้นๆ โดยจะต่อท้ายชื่อของเว็บไบซต์ในส่วนของ address bar ซึ่งการตั้งชื่อที่ดีก็จะทำให้ website ถูกค้นหาได้ง่ายขึ้น โดย ecommerce บางเจ้าจะสร้าง  Page URLs โดยใช้ชื่อเดียวกับชื่อสินค้าและหมวดหมู่ของสินค้าให้อัตโนมัติ

4.Independent Meta Descriptions   คะแนน 9/10

Meta Descriptions คือข้อความที่แสดงคำอธิบายของหน้า page โดยปรากฏอยู่ในหน้าผลการค้นหาของ Google แม้ว่าคำอธิบายจะไม่ส่งผลต่อตำแหน่งโดยตรงของการค้นหา แต่อาจมีผลกระทบต่อการตัดสินใจในการคลิกเข้าไปดูของผู้ใช้งานได้

5.Independent Image ALT Tags   คะแนน 3/10

การเพิ่ม ALT tag เป็นการแสดงข้อความรายละเอียดของรูปภาพ แม้ว่า ALT tag จะมีความสำคัญไม่มากในการจัดอันดับ SEO ของ Google แต่อาจมีผลกระทบต่อการแสดงผลในหน้าผลการค้นหารูปภาพของ Google

6.Independent H1 Headings   คะแนน 3/10

H1 head มักจะถูกกำหนดเป็นหัวเรื่องหลักที่แสดงอยู่ในหน้าสินค้าอยู่แล้ว โดยจะเป็นข้อความที่แสดงความเกี่ยวข้องกับข้อความที่ใช้ค้นหาใน Google โดยโปรแกรม e-commerce บางเจ้าจะไม่มีฟีเจอร์นี้มาให้ และอีกหลายๆ เจ้าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

 

 

 

 

7.Canonical URLs   คะแนน 7/10

การใส่ Canonial tag เอาไว้ที่เว็บ เพื่อเป็นการลดและป้องกันการเกิดข้อมูลซ้ำ (duplicate content) ของเว็บเรา

8.Integrated Blogging Platform   คะแนน 10/10

การมี link คุณภาพจากภายนอกที่ชี้มายังเว็บไซต์ เป็นปัจจัยที่เพิ่มความโดดเด่นและความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์อีกด้วย

9.Social Sharing buttons   คะแนน 8/10

ปุ่มสำหรับแบ่งปันเนื้อหาภายในเว็บไซต์ไปยัง social network อื่นๆ เป็นไอคอนที่จดจำได้ง่าย ซึ่งจะช่วยให้ผู้เข้าชมสามารถแบ่งปันเนื้อหาไปยังเครือข่ายอื่นๆ ภายนอก เพื่อให้ผู้ใช้อ่านคนอื่นๆ สามารถเข้าถึงได้

10.Auto XML Sitemap   คะแนน 9/10

XML Sitemap คือ การสร้างไฟล์ในเครื่อง server ที่รวมโครงสร้างของเว็บไซต์ซึ่งเป็นเหมือน “สารบัญ” หรือ “ดัชนี” ที่รวม link ของทุกหน้าไว้ที่หน้าเดียว อีกทั้งยังช่วยให้ search engine สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ง่ายและรวดเร็ว

11.Use of own Domain Name   คะแนน 10/10

การใช้ชื่อ Domain name ต้องเป็นชื่อที่ไม่ซ้ำใคร และจะเป็นช่องทางที่ผู้ใช้งานจะสามารถเข้าถึง website เราได้โดยตรงบน internet

โดยหากท่านผู้อ่านสนใจที่จะสร้างเว็บไซต์ e-commerce ที่ให้ช่วยในการทำ SEO ได้อย่างครอบคลุม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงของ website สามารถติดต่อได้ที่  marketing@stream.co.th หรือโทร 02-679-2233


เขียนและเรียบเรียงโดย

กมลเนตร   วงศ์ปราโมทย์

Business Analyst

 

0 0 Continue Reading →

จาก Start up สู่แบรนด์เครื่องสำอางระดับโลก ดัง ปัง บน Amazon โดยใช้กลยุทธ์การตลาดแบบวิดีโอดึงลูกค้าใหม่

มาทำรู้จักกับเรื่องราวของ Start up ร้านค้าปลีกเครื่องสำอาง ชื่อ KF Beauty ที่ทำสื่อผ่านทางช่องทางวีดีโอโซเชียลมีเดีย เพิ่มลูกค้ารายใหม่มากกว่าพันราย และได้ Feedback ที่สำคัญมากมายจากลูกค้า

Malinsky และ ผู้ร่วมก่อตั้ง Jon Davidman  ได้สร้างแบรนด์ KF Beauty ในปี 2013 พร้อมกับผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม KeraFiber ในปี 2015 ทั้งคู่ได้ซื้อ WunderBrow ซึ่งเป็นเครื่องสำองค์แต่งคิ้ว ในปัจจุบัน ธุรกิจของทั้งคู่ได้จำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมความงามใน 27 ประเทศ มีสินค้า 21 sku และ เพิ่มยอดขายขึ้น 800% เมื่อเทียบเป็นรายปีในปี 2016 และสร้างรายได้จากช่องทางออนไลน์เป็นหลายล้านดอลลาร์

ร้านค้าปลีกเครื่องสำอาง WunderBrow และ KF Beauty ถือว่า Amazon เป็นช่องทางการขาย ช่องทางที่ 3  ซึ่งประมาณ 75% ของยอดขายทั้งหมดมาจาก Amazon โดยตรง

Malinsky ceo ของ KF Beauty ได้กล่าวว่า เป้าหมายของการขายสินค้านั้น คือ การเพิ่มความผูกผันของผลิตภัณฑ์และแบรนด์ ให้ตรงใจลูกค้า ซึ่งสามารถขายสินค้าให้กับลูกค้าได้มากขึ้น และมีลูกค้าที่กลับมาซื้อสินค้ารวมทั้งแนะนำผลิตภัณฑ์ให้แก่คนรอบข้างเพิ่มขึ้น ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 40%

ยอดขายส่วนใหญ่ของ KF Beauty มาจาก Amazon โดยตรง เนื่องจากเว็บไซต์ Amazon มีการซื้อขาย และบริการจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้า และทาง Amazon ยังมีการแจ้งเตือนระดับสต็อกสินค้า ก่อนที่จะหมด จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ของ KF Beauty ไม่เคยขึ้น Out of Stock บน Amazon

ในด้านกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ เดิมที KF Beauty ทำการตลาดผลิตภัณฑ์คิ้วให้กับผู้หญิงอายุ 45 ปีขึ้น ไปเนื่องจากพวกเธอมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาเรื่องผมร่วงหรือขนคิ้วบางขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม KF Beauty ตระหนักดีว่าผู้บริโภคอายุ 20 ปี ก็มีความสนใจในการแต่งคิ้ว ดังนั้นจึงเปลี่ยนกลยุทธ์นำ WunderBrow มาเจาะตลาดกลุ่มผู้บริโภคช่วงอายุวัยรุ่นแทน

Malinsky  กล่าวว่า เรารู้ว่ามีผู้บริโภคที่อายุน้อยจำนวนมากที่มีศักยภาพ ถ้าเราหาทางเชื่อมต่อกับผู้บริโภคที่อายุน้อยกว่า และส่งข้อความที่ โดน ให้แก่ผู้บริโภค Malinsky  จึงเลือกใช้วิดีโอโซเชียล เช่น  Facebook เพื่อกระจายข่าวเกี่ยวกับแบรนด์และเข้าถึงผู้บริโภคที่อายุน้อย

ในการทำวิดีโอผลิตภัณฑ์ จะไม่เหมือนโฆษณาแบบสมัยก่อน แต่จะใช้ Blogger และ Youtube หรือ นำดารา เน็ตไอดอลที่มีอิทธิพลบน Social นำเสนอเคล็ดลับในการใช้งานผลิตภัณฑ์ WunderBrow ให้แก่ผู้บริโภค

กลยุทธ์ในการทำวิดีโอคือ ควรจะจัดทำวิดีโอที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับระดับความเข้าใจหรือความเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ เช่น เพิ่งเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ หรือพอรู้จักผลิตภัณฑ์มาบ้าง ขั้นต่อไปก็ควรให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่ตรงกับความต้องการมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น วิดีโอเปิดตัว นำเสนอภาพรวมของผลิตภัณฑ์ WunderBrow  วิดีโอต่อไปเริ่มแสดงจุดเด่นผลิตภัณฑ์  เช่น ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่กันน้ำหรือผลิตจากพืชที่รับประทานได้ ปลอดภัย

สำหรับผู้บริโภคที่คุ้นเคยกับแบรนด์ แต่ยังไม่ได้ซื้อ วิดีโอถัดไปจะย้ำให้ผู้บริโภคทราบว่า ผู้ค้าเสนอการจัดส่งฟรีและนโยบายการคืนสินค้าที่ไม่มีคำถามวุ่นวายกวนใจ โดยรวมแล้วจะใช้เวลาถึง 15 วิดีโอเพื่อหาลูกค้าใหม่

วิดีโอของ KF Beauty กำลังเข้าถึงกลุ่มผู้ชมเป็นจำนวนมาก เนื่องจากวิดีโอสามารถมีผู้ชมนับล้านวิว มีคนนับร้อยนับพันที่ชอบ และมีผู้ชมอีกกว่า 100 ถึง 10,000 คน แสดงความคิดเห็น ซึ่งความคิดเห็นเหล่านั้น ผู้ค้าควรจะตอบกลับให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความคิดเห็นเชิงบวกหรือเชิงลบก็ตาม

ตัวอย่างความคิดเห็นเชิงลบ หากลูกค้าแสดงความเห็นว่า ฉันเกลียดสินค้าตัวนี้

      แทนที่จะลบความคิดเห็นนี้ เราจะตอบกลับไปว่า  “ทางเราเสียใจที่ได้ยินแบบนี้ แต่นโยบายของเราหากมีการคืนสินค้า เราจะไม่มีการสอบถาม และ มีรับประกันการคืนเงินภายใน 30 วัน สุดท้ายเราจะพยายามปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ดีที่สุด  การตอบกลับความคิดเห็นเชิงลบเหล่านี้ทำให้ร้านค้ามีการปรับปรุงคุณภาพสินค้าและทำให้สร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าที่มีอยู่และผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าในอนาคต

KF Beauty มีพนักงานทั้งหมด 60 คน โดยมีพนักงานถึง 12 คนทำหน้าที่ติดต่อสื่อสารและรับฟังความเห็นจากลูกค้า นั่นคือ 1 ใน 5 ของคนทั้งหมดในบริษัท แสดงถึงการให้ความสำคัญกับลูกค้า ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ลูกค้าพอใจ ประทับใจ และนำไปสู่การสร้างรายได้ระยะยาวของบริษัทต่อไป

จากกลยุทธ์ของทาง KF Beauty จะเห็นว่ามีการใช้วิดีโอ อย่างชาญฉลาดบน โลก Social และเน้น customer centric ยึดความพอใจของลูกค้าเป็นหลัก ไม่ลบความเห็นเชิงลบ แถมตอบกลับแบบสวยๆ ได้ใจลูกค้าทั้งใหม่และเก่าแบบเนียนๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่ยอดขายของบริษัทจะพุ่งและมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

 

Credit:https://www.digitalcommerce360.com/2017/03/13/wunderbrow-raises-profile-on-amazon-and-video-marketing-strategy/

Proto credit: https://50shadesofjadebeauty.wordpress.com/2016/02/22/my-wunderbrow-experience/

 

 

แปลและเรียบเรียงโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

 

0 0 Continue Reading →

เทคนิคเพิ่มยอดขายด้วย Digital Marketing

Digital Marketing คืออะไร

หลายคนอาจสงสัยว่า Digital Marketing จะช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างไร ซึ่ง Digital Marketing คือ การโปรโมทสินค้าและบริการ โดยใช้ช่องทาง Digital และ Social media เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงผ่านทาง Internet, Text Message, Banner Ads โดยผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ง่าย และตรงกลุ่มเป้าหมาย หลังจากนั้นเมื่อผู้เข้าชมสนใจในสินค้าก็จะเกิดการซื้อสินค้าและบริการ รวมถึงได้รับการกระตุ้นจากแคมเปญหรือโปรโมชั่นต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดการซื้อซ้ำ ดังรูป

ประโยชน์ของการทำ Digital Marketing

1.เพื่อเพิ่ม traffic ในการเข้าถึง website ของผู้บริโภค

2.เพื่อเพิ่มการยอมรับจากผู้บริโภค

3. เพื่อปรับปรุง ranking ของ SEO

4. เพื่อเพิ่มยอดขาย

Digital Marketing มีอะไรบ้าง ทำอย่างไร

ในส่วนนี้เราจะมาพูดถึงส่วนประกอบในการทำ Digital Marketing ซึ่งมีหลายวิธีมาก ที่ผู้อ่านสามารถเลือกเพื่อนำไปใช้ให้เหมาะสมกับการทำเว็บไซต์ของตนเอง ว่าวิธีไหนจะเหมาะสมและให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งเรามาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้าง แล้วแต่ละวิธีเป็นอย่างไร

1.Website Design

การออกแบบ UX/UI เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ง่าย สะดวกต่อการใช้งาน

2.Search Engine Optimization (SEO)

การปรับแต่ง website เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหา ให้ website ที่ต้องการติดหน้าแรกของ search engine เช่น Google, Yahoo, Bing เป็นต้น  เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา

องค์ประกอบของ SEO

Content : เนื้อหาใหม่มีความแตกต่างจากที่อื่น และมีความน่าสนใจ

Link : มีการ Link จาก website อื่นๆ อ้างอิงมายัง website ที่ทำ SEO

Design : การออกแบบ website ให้น่าสนใจ

3.Pay Per Click (PPC)

การทำโฆษณา website บน search engine โดยคิดค่าใช้จ่ายตามจำนวนครั้งที่ผู้เข้าชมคลิกผ่านโฆษณานั้นๆ

4.Social Media Marketing (SMM)

การทำโฆษณาผ่านช่องทาง Social Media เพื่อเข้าถึงผู้บริโภค และส่งผลให้การทำ SEO ประสิทธิภาพมากขึ้น โดยต้องคำนึงถึง

  • ใครคือกลุ่มเป้าหมายและเค้าสนใจอะไร
  • วัตถุประสงค์ที่จะทำแคมเปญผ่าน social media
  • กลยุทธ์ที่แตกต่าง
  • เทคโนโลยีหรือ channel ที่จะใช้

5.Email Marketing

                การทำโฆษณาผ่านทาง email โดยช่องทางนี้ จะต้องมี email ของกลุ่มเป้าหมายก่อน ซึ่งอาจจะเป็นลูกค้าที่สมัครเป็นสมาชิกแล้ว หรือเป็นผู้ชมที่ subscribe เข้ามา

6.Retargeting

การทำโฆษณาโดยการส่งย้ำโฆษณาของบริการ/สินค้า ไปให้แก่ลูกค้าที่เคยเข้ามาดูบริการ/สินค้านั้นๆ ผ่านทาง Banner Ads ของ website ต่างๆ

 


 

หากสนใจโซลูชัน สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ marketing@stream.co.th หรือโทร 02-679-2233

เขียนและเรียบเรียงโดย

กมลเนตร   วงศ์ปราโมทย์

Business Analyst

0 0 Continue Reading →

Google Search Console เครื่องมืออันทรงพลังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ของเรา

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้เราจะมานำเสนอเครื่องมือที่ช่วยเทำให้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นก็คือ Google Search Console ครับ ในบทก่อนหน้านี้เราได้นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับ Google Analytics ไปแล้วนะครับ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลการเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์  แต่สำหรับ Google Search Console หน้าที่ก็คล้ายๆ กันครับ ซึ่งจะทำหน้าที่วิเคราะห์เหมือนกัน แต่จะวิเคราะห์สิ่งที่แตกต่างออกไป ยกตัวอย่างเช่น  ความผิดพลาดของเว็บไซต์  และรวมไปถึงการเพิ่ม Sitemap, robots เพื่ออำนวยความสะดวกต่อ Google SEO อีกด้วยครับ

สำหรับ Google Search Console เปลี่ยนชื่อมาจาก Google Webmaster Tools เป็นหนึ่งในบริการของ Google ที่เปิดให้บริการฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เหมาะสำหรับ Webmaster ของเว็บไซต์ที่มีหน้าที่ดูแลเว็บไซต์ ต้องการตรวจสอบความผิดพลาดของเว็บไซต์อยู่บ่อยๆ ซึ่งถ้าใช้ Google Search Console เข้ามาช่วยจัดการเรื่องนี้ จะทำให้เว็บไซต์ที่ดูแลอยู่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในบทนี้เราจะพูดถึงฟีเจอร์ของ Google Search Console เป็นหลักนะครับ สำหรับวิธีการติดตั้งสามารถคลิกดูที่ลิงค์นี้
 

 Google Search Console ใช้ทำอะไรได้บ้าง ?

 

  • รู้จักเว็บไซต์ของคุณในมุมมองของ Google

ลักษณะการมองเว็บไซต์ที่เรามองเห็น กับลักษณะการมองเว็บไซต์ที่ Google มองเห็น มีลักษณะต่างกันโดยสิ้นเชิง สำหรับสิ่งที่เรามองเห็นเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของเว็บไซต์เท่านั้น ไม่ได้มองเห็นถึงโครงสร้างของเว็บไซต์  แต่ในทางกลับกันในมุมมองของ Google กลับมองเห็นถึงมุมมองของโครงสร้างเว็บไซต์เพื่อใช้ในการทำ SEO หากเว็บไซต์คุณได้รับการพัฒนาที่ดีจะทำให้ติด SEO เร็ว

  • เราสามารถตั้งค่าบางอย่างผ่าน Google Search Console ได้

เราสามารถตั้งค่าเกี่ยวกับ Structured Data ที่ใช้ใน Rich Snippet บางอย่างเช่น Rich Cards, Data Highlighter เป็นต้น
นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่า และตรวจสถานะของ Accelerated Mobile Pages, robots.txt, xml sitemap ได้อีกด้วย

  • ได้รับการแจ้งเตือนจาก Google

เมื่อเว็บไซต์ของคุณเกิดข้อผิดพลาดขึ้น คุณจะได้รับการแจ้งเตือนจาก Google ทันที เช่น Server มีปัญหาหน้าเว็บไซต์ไม่แสดง, จำนวนคนที่เข้ามายังเว็บไซต์มากกว่าปกติ, Malware เข้ามาในเว็บไซต์ เป็นต้น นอกจากนี้หากคุณทำผิดนโยบายของ Google และ Google จับได้คุณก็จะได้รับการแจ้งเตือน

 Dashboard

แผงควบคุม จะแสดง Report ทั้งหมดที่ให้บริการทั้งหมดใน Search Console ประกอบไปด้วย สถานะปัจจุบัน Analytics สำหรับการค้นหา แผนผังเว็บไซต์

ข้อความ

ในส่วนนี้จะเป็นพื้นที่แสดงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์ของเรา ถ้าหากว่ามีข้อความแจ้งเตือนเกิดขึ้นในกล่องข้อความนี้ ให้รีบเช็คทันทีเพื่อดูรายละเอียดที่ Search Console แจ้งและทำการแก้ไขทันทีครับ

ลักษณะที่ปรากฎของการค้นหา

  • ข้อมูลที่มีโครงสร้าง

Google จะใช้ Structure Data ที่เรากำหนดไว้เพื่อการแสดงใน Rich Snippet จากพื้นที่การค้นหานั้น ๆ และ Error ต่างๆ กราฟนี้จะแสดงข้อมูลให้เราทราบว่าข้อมูลมีโครงสร้างกี่รายการ และรายการที่มีข้อผิดพลาดเท่าไหร่

  • การ์ดสื่อสมบูรณ์

จะแสดงการตั้งค่าของ Rich Cards ของเว็บไซต์คุณทั้งหมด เรามาทำความรู้จักกับ Rich Cards แบบต่าง ๆ กันดีกว่าครับ
> Rich Cards เป็น Rich Snippet ประเภทหนึ่งที่เพิ่มฟีเจอร์ให้รูปภาพสามารถเลื่อนซ้ายขวา (Carousel Feature) ได้
> Rich Cards มีผลใน Recipe, Movie ใน Google USA เท่านั้น ซึ่งยังไม่มีในประเทศไทย
> Rich Cards แสดงเฉพาะในมือถือเท่านั้น

ตัวอย่างรูปภาพของ Rich Cards

  • เครื่องมือเน้นข้อมูล

แสดงการค้นหาเว็บไซต์ของคุณเป็น Highlighter
Data Highlighter คือเครื่องมือใหม่ที่แจ้ง Structured Data ให้ Google ทราบ
โดยปกติใช้ Meta Data ใน HTML เพื่อแจ้ง Structured Data
Data Highlighter สามารถแจ้ง Structured Data โดยไม่ต้องแก้ไข Source Code
สำหรับคนที่เคยแก้ไข Meta Data เพื่อแจ้ง Structured Data แล้ว ก็ไม่ต้องตั้งใน Data Highlighter ซ้ำ

  • ข้อมูลที่มีโครงสร้าง

จะแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับ meta tag, title tag, description tag ทั้งหมดว่าถูกกำหนดไว้อย่างถูกต้องหรือไม่ เช่น กำหนดซํ้ากันทุกหน้าเลยแบบนี้อาจไม่ดีเท่าไหร่นัก เราควรนำข้อมูลนี้ไปเป็นข้อมูลสำหรับปรับแก้ไขโครงสร้างเว็บไซต์ต่อไป

  • Accelerated Mobile Pages

Accelerated Mobile Pates หรือเรียกสั้นๆ ว่า AMP จะทำหน้าที่ปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้แสดงผลบนมือถือได้เร็วที่สุด และแสดง Error ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับ AMP ทั้งหมด

ปริมาณการค้นหา

สำหรับปริมาณการค้นหาจะแสดงผลการค้นหาที่มาจากแหล่งไหนบ้าง เช่น  แสดงจำนวนลิงก์จากภายนอกที่มายังเว็บไซต์ของคุณ, จำนวนโครงสร้างลิงก์ภายในเว็บไซต์ของคุณ, แสดงการลงโทษจากเจ้าหน้าที่ของ Google เป็นต้น จำแนกได้ดังนี้

  • Analytics สำหรับการค้นหา

Analytics ของ Google มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากเก็บข้อมูลที่สำคัญที่จำเป็นต่อการคิดและวิเคราะห์เป็นอย่างดี ได้แก่ การคลิกเข้ามาในเว็บไซต์, การแสดงผล, CRT, ตำแหน่ง ซึ่งจะเก็บเฉพาะของคนที่เข้ามาเว็บไซต์เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นให้บริการเกี่ยวกับ
> ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของคุณ
> ลิงก์ภายใน
> การดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่
> การกำหนดเป้าหมายระหว่างประเทศ
> การใช้งานแบบอุปกรณ์เคลื่อนที่

ดัชนีของ Google

ตัวบ่งชี้ที่ Google ใช้ประเมินเว็บไซต์ของคุณ ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่

  • สถานะดัชนี

เป็นรายงานแสดงหน้าทั้งหมดที่มีในเว็บไซต์ มีหน้าไหนบ้างที่คุณตั้งค่า Robots ไม่ให้เข้าถึงหน้า Index หรือ Block โดย Robots หากทำการตรวจสอบแล้วพบข้อผิดพลาดควรทำการแก้ไขด่วน

  • สิ่งที่ไม่สามารถเข้าถึงได้

เป็นฟังก์ชั่นที่คอยเช็คว่าภายในเว็บไซต์ของเรา มีหน้าไหนบ้างที่ Robots ของ Google ไม่สามารถเข้าถึงได้ เราอาจเสียโอกาสไปได้  หากตรวจสอบพบว่ามีหน้าไหนบ้างที่โดนป้องกันไม่ให้เข้าถึง แต่มีเนื้อหาที่ต้องทำ SEO ควรทำการปรับแก้ไขไฟล์ robots.txt โดยด่วน

 การรวบรวมข้อมูล

ภายในเมนูนี้จะประกอบไปด้วยขั้นตอนการเพิ่มไฟล์ robots.txt เพื่ออนุญาตุให้ Google Robots เข้าถึงเนื้อหาภายในเว็บไซต์ รวมไปถึงการเพิ่มไฟล์ sitmap.xml เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับ Google Robots ในการเข้าถึงเนื้อหาภายในเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ถ้าตอนนี้ใครมีเว็บไซต์ที่ต้องดูแล รีบเช็คด่วนเลยครับว่าเว็บไซต์ของคุณถูกต้องตามหลักในมุมมองของ Google หรือป่าว  เพราะนอกจากจะเสียโอกาสที่ Google SEO จะค้นหาเจอโดยง่ายแล้ว ยังจะทำให้โครงสร้างของเว็บไซต์ของคุณไม่ได้เอื้ออำนวยต่อ SEO ของค่ายต่างๆ ด้วยนะครับ หากเราใช้ Google Search Console เข้ามาช่วยจัดการเรื่องนี้เราจะมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพอันทรงพลังในการปรับแก้ไขเว็บไซต์ของเราให้ถูกต้องอยู่ตลอดเวลาครับ และความผิดพลาดที่เกิดกับเว็บไซต์ของเราจะลดลงไปหรือไม่มีเลยก็เป็นไปได้ครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ h1.go.th

หากสนใจโซลูชัน สามารถติดต่อได้ที่ marketing@stream.co.th หรือโทร 02-679-2233

0 0 Continue Reading →

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายการใช้คุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save