Skip to Content

Blog Archives

Gadget เพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ: Pizza Beats, Portable Power, Pokémon Go Drones

Pizza Beats

xl-2016-dj-pizza-box-1

ขอบคุณภาพจาก technewsworld.com

Pizza Hut ในประเทศอังกฤษ ได้จับมือกับบริษัท Novalia  เสริมลูกเล่นให้กับกล่องพิซซ่าที่สุดแสนธรรมดา ที่ปกติซื้อมาแล้วนำกล่องไปทิ้งอย่างเดียว แปลงมาเป็น Turntable สำหรับ DJ สุด chic มีทั้งการควบคุมเสียง , pitch, mixer และ touch sensitive decks  ด้วยสิ่งที่มีให้ ผู้ใช้สามารถ Crossfade, rewind และ scratch แผ่น เพิ่อสร้างสรรค์เสียงเพลงได้ตามต้องการ

กล่องกระดาษนี้ต้องการ DJ software ที่ลงกับ computer หรือ smartphone ต่างๆ และเชื่อมต่อกับ การทำงานผ่าน Bluetooth

 

Portable Power

hppowerup

ขอบคุณภาพจาก winsupersite.com

หุ้นตกดันขายไม่ทัน  โทรศัพท์สายสำคัญเข้าดันแบตหมด  ลืมเอาสายชาตร์ note book มาจากบ้าน หลายคนคงเคยประสบแบบนี้ คงรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย แต่วันนี้ปัญหาจะหมดได้ ลองคิดดูว่าถ้าเราสามารถมีกระเป๋าสะพายที่สามารถชารต์แบตอุปกรณ์ต่างๆที่เรามีทั้งหมด ได้พร้อมกันจะสะดวกสบายแค่ไหน

HP ได้ผลิต กระเป๋าสะพายที่ให้คุณสามารถชารต์อุปกรณ์ต่างๆได้ ในขณะที่คุณเดินทาง ในกระเป๋าได้ติดแบตเตอรี่ที่สามารถชารต์มือถือ ได้ถึง 10 ครั้ง tablet ได้ 3 ครั้ง และ notebook ได้ 1 ครั้ง

เรื่องความปลอดภัย ไม่ต้องกังวล เพราะผ่านมาตราฐานของกรม Transportation Security Administration(tsa) ทางสหรัฐอเมริกา กระเป๋าใบนี้มีการตรวจสอบและควบคุมอุณหภูมิ มีการระบายความร้อน และ ซึ่งจะทำให้หลังคุณไม่ร้อนจนเกินไป

 

Pokémon Go Drones

อยากจะไปตียิม แต่อยู่ไกล โปเกมอนที่หายาก ดันไปอยู่ที่เราไปไม่ถึง อยาก อยาก อยาก แต่ดันไปไม่ได้ ทำไงดี

บริษัท TRNDlabs หัวใสออก หาวิธีการที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ โดยใช้ Drones !!!

maxresdefault

ขอบคุณภาพจาก trndlabs.com

Drone พวกนี้จะต่อกับมือถือของผู้ใช้ ผ่านสัญญาณ wifi และผู้ใช้ต้อง Download Application Pokedron’s ซึ่ง App ตัวนี้จะใช้เชื่อมสัญญาณ GPS และ กล้องมือถือผ่าน Drone  ส่วนการบังคับ Drone สุดแสนจะง่ายดาย เพราะว่าการขึ้นบิน และลงจอดเป็นแบบอัตโนมัติผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมี Skill ในการบังคับ แต่อย่างไรก็ตามผู้ผลิตได้เตือนว่า ให้ใช้ Drone ห่างจากสุนัขหรือแมว ไม่งั้นอาจจะกลายเป็นเศษพลาสติกไปได้

สนใจที่จะใช้บริการ E-Commerce สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

banner

0 0 Continue Reading →

มาทำความรู้จักกับ Google Analytics(ตอนที่ 2 Reporting)

หลังจากที่เราติดตั้งโค๊ดติดตามให้กับเว็บไซต์ของเราไปแล้วในตอนที่ 1  หากยังไม่ได้อ่านแนะนำให้กลับไปอ่านก่อนนะครับ  ในบทนี้เราจะมาพูดถึงเกี่ยวกับการดูรายละเอียดของรายงานครับ ซึ่งค่อนข้างละเอียดมากเลยทีเดียว  สามารถนำไปวิเคราะห์ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างเช่น เชิงพัฒนาเว็บไซต์ให้เหมาะกับผู้ใช้งาน  การตลาด เป็นต้น  เห็นไหมครับว่า ข้อมูลเหล่านี้ค่อนข้างสำคัญและก็ได้มาโดยแสนง่ายดายผ่านทางบริการของ Google Analytics


Dashboard 
  • Private คือ Dashboard ที่แสดงรายงานที่เป็นส่วนตัวครับ  โดยสามารถแสดงรายงานได้มากกว่า 1  นั่นหมายความว่าแสดงได้หลาย Dashboard นั่นเองครับ และแต่ละ Dashboard เราก็สามารถกำหนดให้แสดงรายงาน หรือเพิ่ม Widget ที่แตกต่างกันได้ครับ โดย Widget default ที่เตรียมไว้ให้จะมี
    • New Users : จะแสดงรายงานสถิติยอดผู้ใช้งานใหม่ของเว็บไซต์ ในระเวลาที่ผ่านมาโดยจะแสดงแยกเป็นวัน แสดงผลเป็นกราฟครับ
    • Users : จะแสดงรายงานสถิติยอดผู้ใช้งานของเว็บไซต์ ทั้งที่เคยใช้ และเป็นผู้ใช้ใหม่
    • Sessions : จะแสดงรายงานสถิติ Session ที่ถูกส่งมาจาก ทวีป, ประเทศ, จังหวัด ใด ในการเข้ามาสู่เว็บไซต์ของเรา  อันนี้สามารถเช็คได้ว่าเป็นผู้ใช้งานจริงๆ หรือโดนเหล่า Hacker ยิงเว็บเรา สามารถหาวิธีป้องกันได้ครับ
    • Sessions by Browser : จะแสดงรายงานสถิติการใช้ Browser ของผู้ใช้งานครับ ว่านิยมใช้ค่ายไหนมากที่สุด ทำให้เราเอาข้อมูลมาเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการพัฒนาเว็บไซต์ให้รองรับกับการแสดงผลกับ Browser เหล่านั้นครับ
    • Average Session Duration and Pages/Session : จะแสดงรายงานสถิติระยะเวลาของ Session ที่เข้ามาใช้งานเว็บไซต์เราครับ สามารถคาดเดาได้ว่าผู้ใช้งานใช้เวลาอยู่ที่เว็บไซต์เรานานเท่าไหร่
    • Bounce Rate : จะแสดงรายงานสถิติอัตราการตีกลับ
    • Goal Completions : จะแสดงรายงานสถิติเป้าหมายที่สำเร็จ
    • Revenue : จะแสดงรายงานสถิติรายได้ที่เกิดขึ้น
      dashboard
  • New Dashboard  คือ ส่วนที่เราสามารถสร้าง Dashboard ใหม่ครับ  จะสามารถตั้งชื่อให้กับ Dashboard รวมไปถึงเลือก Widget ให้กับ Dashboard  ครับ สร้างได้เรื่อยๆ ไม่จำกัดครับ เหมาะสำหรับผู้ที่ให้อยากได้รายงานที่แตกต่างกันออกไปครับ

 

Shortcuts

ชื่อก็น่าจะสื่ออยู่แล้วนะครับ  สำหรับ Shortcuts  มันคือทางลัดครับที่เราสามารถเข้ามาดูรายงานทั้งหมด แต่จะแสดงให้สั้นลงเป็นตัวเลข ทำให้แสดงผลเบ็ดเสร็จในหน้าเดียวครับ ซึ่งจากเดิมจะแสดงเป็นกราฟอย่างละเอียด  ซึ่งผมก็คลิกเข้าหน้านี้เลยเพื่อมาดูตัวเลขที่เราสนใจ หากอยากดูเป็นแบบสถิติให้ละเอียดกว่านี้ค่อยกลับไปเลือกดูที่ Dashboard ครับ

shortcuts

Intelligence Events
  • Overview : กิจกรรมอัจฉริยะ เป็นรายงานสถิติเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์ของเราครับ ซึ่งจะประกอบไปด้วย กิจกรรมรายวัน กิจกรรมรายสัปดาห์ กิจกรรมรายเดือน โดยภายในรายงานจะแบ่งแสดงตาม Custom Alerts, Automatic Web Alerts, Automatic Adwords Alerts
  • Daily Events : กิจกรรมที่เกิดขึ้นรายวัน
  • Weekly Events : กิจจกรรมที่เกิดขึ้นรายสัปดาห์
  • Monthly Events : กิจกรรมที่เกิดขึ้นรายเดือน

intelligence

Real Time 

เป็นหนึ่งในฟังก์ชั่นที่เจ๋งมากสำหรับใครๆ ที่คาดหวังว่าจะต้องมีในระบบ Analytics และแน่นอนครับ Google Analytics มีฟังก์ชั่นนี้ด้วย  โดยจะแสดงผลเป็นแบบ Real-time ทำให้เราสามารถดูได้ว่า ในเวลานี้มีผู้ใช้งานเว็บไซต์เรากี่คน และแต่ละคนอยู่ในหน้าไหน เขากำลังใช้บริการอะไรบ้างกับเว็บไซต์ของเรา เช่น กำลังค้นหาสินค้าด้วยคีย์เวิร์ดนี้นะ สำหรับฟังก์ชั่นย่อยจะประกอบไปด้วย

  • Location : เป็นการดูตำแหน่งของผู้ใช้งานเว็บไซต์เรา บนโลกนี้แบบ Real-time ครับ ข้อมูลจะละเอียดมาก ซึ่งจะสามารถรู้ได้ว่าผู้ใช้งานมาจากที่ใด เช่น  ทวีป, ประเทศ, จังหวัด โดยจะแสดงเป็นแผนที่รูปภาพที่ชัดเจนมากขึ้น
  • Traffic Sources : เป็นรายงานที่แสดงให้เห็นว่า แหล่งที่มาของการเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์มาจากที่ไหน  บางที่อาจมาจากการค้นหาผ่านทาง Google SEO หรือ เปิดเข้ามาเว็บไซต์ผ่านทาง URL เว็บโดยตรง
  • Content : เป็นรายงานที่แสดงว่าในตอนนี้ผู้ใช้งาน Active อยู่ในหน้าไหน โดยระบบจะแสดงเป็นชื่อ URL ของเว็บไซต์
  • Events : เป็นรายงานที่บอกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเว็บไซต์ โดยแบ่งแสดงตาม หมวดหมู่เหตุการณ์  การทำงานของเหตุการณ์  ผู้ใช้ที่ใช้งานอยู่  รวมไปถึงผู้ใช้ Active บนอุปกรณ์ชนิดใด เช่น Desktop, Mobile
  • Conventions

real-time

Audience 

เป็นรายงานสถิติเกี่ยวกับผู้เข้าชมเว็บไซต์โดยตรงซึ่งจะเก็บประวัติการเข้าใช้งานไว้อย่างละเอียดมาก ถูกแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ได้ ดังนี้

  • Active Users : ผู้ที่ใช้งานเว็บไซต์นี้อยู่ โดยจะสามารถเลือกดูได้ทั้ง 1 Day Active User, 7-Day Active Users, 30-Day Active Users

active-user

  • Cohort Analysis : การวิเคราะห์ตามการได้ข้อมูลมา จะแบ่งแยกแสดงข้อมูลแบบตารางซึ่งจะสามารถเปรียบเทียบกันได้ของเดือนนั้นๆ

Cohort Analysis

  • User Explorer : โปรแกรมสำรวจผู้ใช้ จะแสดงข้อมูลรายละเอียดผู้ใช้งานอย่างละเอียดซึ่งจะประกอบไปด้วย Client ID, Session, Avg Session, Bounce Rate, Revenue นอกจากนั้นยังสามารถเลือกคลิกเข้าไปอ่านรายละเอียดย่อยของ Client ID นั้นๆ ได้อีกด้วย

user-explorer

  • Demographics : ข้อมูลประชากร
  • Interests : ความสนใจ
  • Geo : ภูมิศาสตร์
  • Behaviour : พฤติกรรม
  • Technology : โทคโนโลยี
  • Mobile : มือถือ
  • Custom : ที่เรากำหนด
  • Benchmarking : การเปรียบเทียบ
  • User Flow : ลำดับการเข้าใช้งานของผู้ใช้งาน
Acquisition 

เป็นรายงานเกี่ยวกับ Action ของผู้ใช้งานทั้งหมด โดยจะแยกแสดงแบ่งตาม การเข้าชมทั้งหมด, AdWords, Search Console, Social, Campaign  สำหรับจุดเด่นที่สำคัญจะบอกช่องทางที่ผู้ใช้งานเข้ามายังเว็บไซต์ของเรา ซึ่งมาจาก Organic Search, Direct, Social, Referral

acquisition

Behaviour 

พฤติกรรมของผู้ใช้งาน อันนี้ก็พูดได้ว่าเป็นข้อมูลที่สำคัญอีกตัวหนึ่งเลยทีเดียว  เพราะว่าเราทำเว็บไซต์ขึ้นมาก็มีความจำเป็นที่จะต้องอยากทราบพฤติกรรมของผู้ใช้ครับ  เพราะมีประโยชน์ต่อการออกแบบเว็บไซต์ให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ทำให้โอกาสประสบผลสำเร็จมีมากขึ้น สำหรับฟังก์ชั่นที่มีอยู่ในหมวดนี้ประกอบไปด้วย  Behaviour Flow, Site Content, Site Speed, Site Search, Events, Publisher, Experiments, In-Page Analytics

behaviour

 

เห็นไหมครับว่า Google Analytics  มันสามารถทำอะไรได้เยอะมาก ที่กล่าวมานี้ผมไม่ได้ยกตัวอย่างหรือนำภาพมาแสดงให้เห็นทั้งหมด แต่ยิบยกมาเพียงบางส่วนเท่านั้น ส่วนข้อมูลที่อยู่บนภาพนั้นเป็นของเว็บไซต์อะไร ผมขอไม่กล่าวถึงนะครับ เอาเป็นว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลจริงๆ ไม่ได้ทำขึ้นแต่อย่างใดครับ  เมื่อเราเรียนรู้การติดตั้ง ในตอนที่ 1 จนมาถึงตอนที่ 2 ซึ่งก็พูดถึงความเจ๋งของรายงานซึ่งแบ่งออกหลายหมวดหมู่มากๆ ซึ่งล้วนแล้วมีความจำเป็นต่อการพัฒนาเว็บไซต์ และทำการตลาดครับ หรือจะจัดเก็บไว้ดูเล่นแบบมีความสุขไปวันๆ ก็ได้นะครับ

แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากการที่ผมใช้ Google Analytics ที่ผ่านมา  มันยังไม่ได้ตอบโจทย์ได้ทุกส่วน เพราะว่า Google Analytics จะจัดเก็บข้อมูลแบบภาพรวมแบบทั้งหน้าหรือทั้งเว็บไซต์ต่อการเรียกใช้งาน 1 ครั้ง  หากเราอยากได้ข้อมูลการใช้งานเว็บแบบเจาะจง แบบละเอียดกว่านี้ เช่น ส่วนใหญ่ผู้ใช้กดปุ่มไหนมากที่สุด หากกดปุ่มนั้นแล้วให้มี Action เกี่ยวกับการเก็บประวัติอย่างไรบ้าง ซึ่งในตอนนี้ Google Analytics ก็ยังไม่มี Features แบบนั้น ซึ่งไม่ตอบโจทย์กลุ่มคนที่พัฒนาเรื่อง UX,UI กันอยู่ดีครับ  เดี่ยวบทความต่อไปจะแนะนำเครื่องมืออีกตัวหนึ่งครับที่ เก็บประวัติการเข้าชมเว็บไซต์หรือแอพิเคชั่น ซึ่งใช้ Concept ที่แตกต่างไปจาก Google Analytics แบบสุดขั้วเลยครับ ซึ่งตอบโจทย์เหล่า UX,UI เป็นอย่างดีครับ  สำหรับวันนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ ขอบคุณครับ

0 9 Continue Reading →

มูลค่ายอดขาย E-Commerce ในประเทศไทย – ภาคธุรกิจอาหาร,เครื่องสำอาง,ยาและเวชภัณฑ์

ในบทความนี้เราจะเจาะมูลค่ายอดขายของภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม,เครื่องสำอาง ยาและเวชภัณฑ์จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

1.อาหารและเครื่องดื่ม (ไม่รวมอาหารสำหรับเด็กทารก)  ในกลุ่มนี้เราจะเห็นว่ามีการแข่งขันกันหลายเจ้าในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็น KFC, Pizza, MK, BURGER KING เป็นต้น

2.เครื่องสำอาง ยาและเวชภัณฑ์ ซึ่งในกลุ่มนี้มีผู้เล่นหลายเจ้า เช่น Watson, Boot  เป็นต้น

เรามาดูว่ายอดขายประมาณการณ์ของภาคธุรกิจนี้ตั้งแต่ปี 2014-2020 เป็นอย่างไรR1

*ข้อมูลมูลค่ายอดขายนี้เป็นตัวเลขประมาณการณ์โดยสำรวจจากการซื้อขายสินค้าที่จับต้องได้(physical goods)และมีลักษณะ B2C ที่มีการซื้อขายผ่าน คอมพิวเตอร์ และ Mobile Devices

จากรูปด้านบน ภาพรวมมูลค่ายอดขายสินค้าผ่าน E-Commerce ในประเทศไทยของภาคธุรกิจนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2014 มีมูลค่าสูงถึง 124 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยถึง 4,340 ล้านบาท และในปี 2015 ที่ผ่านมา 5,530 ล้านบาท มูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 27.4%  ในปี 2016 คาดการณ์ว่าเพิ่มขึ้น 58% จากปี 2014 และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2020 ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 395 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยถึง 13,825 ล้านบาท ถึงแม้ว่าภาคธุรกิจนี้ยอดขายจะไม่สูงเท่าธุรกิจอื่น แต่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของยอดขายเพิ่มขึ้นประมาณ 20% ทุกปี

อัตราการเติบโตยอดขายภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม,เครื่องสำอาง ยาและเวชภัณฑ์(คิดเป็น%)

R2

จากกราฟจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2015 – 2020 สินค้าจำพวกอาหารและเครื่องดื่มตกลงจากปี 2015 ประมาณ 22.1% และแผ่วลงเล็กน้อยในปีต่อๆไป และมีอัตราการโตโดยเฉลี่ย 20% ทุกปี

ส่วนสินค้าพวก เครื่องสำอาง ยาและเวชภัณฑ์จากปี 2015 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 4% และตกลงเรื่อยๆ แต่ยังคงเป็นบวก

จำนวน User ที่ซื้อสินค้าต่อปี

U1

จากกราฟจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2014 – 2020 จำนวน user ที่ซื้อสินค้าทั้ง อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ยาและเวชภัณฑ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่น่าสนใจคือ สินค้าพวก อาหารและเครื่องดื่ม มีจำนวน User เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปี 2014 ถึง 2020 เป็นไปได้ว่าลูกค้ามีความนิยมที่จะซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มผ่านทางออนไลน์แทนที่จะไปซื้อถึงที่ร้าน

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อ User ในการซื้อสินค้าต่อปี (Average revenue per user)

A1

กราฟก่อนหน้าแสดงให้เห็นว่ามีจำนวน User ต่อปีที่เท่าไรที่ซื้อสินค้า คราวนี้มาดูว่าแต่ละ User มีการใช้จ่ายเท่าไรบ้าง

จากกราฟด้านบนตั้งแต่ปี 2014-2020 ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อ User ที่ซื้อสินค้าอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากปี 2014 จนถึงปี 2020 เพิ่มขึ้นมา 2 เท่าตัว ส่วนสินค้าเครื่องสำอาง ยาและเวชภัณฑ์มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในแต่ละปี

อัตราการเติบโตของภาคสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ยาและเวชภัณฑ์ส่งผลให้มูลค่ายอดขายเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักๆ มาจากอัตราการเข้าถึงของผู้ใช้ Internet ในประเทศเพิ่มมากขึ้นและอุปกรณ์ IT ต่างๆ มีราคาลดลงและคนรุ่นใหม่ยุค Gen Y,Z ที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อและมีศักยภาพในการผลักดัน E-Commerce ในอนาคต

Picture Credit: www.statista.com/

_______________________________________________________________________

ไปต่อกับบทความ ยอดขาย  E-Commerce ในประเทศไทยแยกตามภาคธุรกิจ

_______________________________________________________________________

จากข้อมูลทั้งหมด ทาง Stream IT Consulting มี Solution ที่ตอบโจทย์ E-Commerce ทุกภาคธุรกิจ ได้อย่างครบถ้วน อย่างแน่นอน

banner

สนใจที่จะใช้บริการ สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

เขียนและเรียบเรียงโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

0 0 Continue Reading →

มาทำความรู้จักกับ Google Analytics (ตอนที่ 1 Register & Install)

Hero-Circle_74579c96-7aa5-41b1-8742-99148b31f745_2048x2048

 

หากพูดถึงบริการของ Google  ซึ่งมีอยู่มากมายครับ มีทั้งฟรีและเสียตังค์  สำหรับเนื้อหาในบทนี้จะขอพูดเกี่ยวกับบริการของ Google ที่ชื่อว่า  Google Analytics  สำหรับคนที่พัฒนาเว็บไซต์จะรู้จักบริการตัวนี้เป็นอย่างดี  เพราะว่ามันเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลแบบละเอียดได้เป็นอย่างดี เกี่ยวกับการเข้ามาใช้งานเว็บไซต์ของเรา ทำให้เราสามารถติดตามผู้ใช้งานได้ง่ายขึ้น


เราจะใช้งานบริการ Google analytics ได้อย่างไร ?

ก่อนอื่นต้องมี Email Account ของ Gmail กันก่อนครับ  หากใครยังไม่มีก็รีบๆ สมัครกันก่อนนะครับ  จากนั้นไปที่เว็บไซต์นี้ได้เลยครับ  คลิกเพื่อไปยัง Google analytics  หลังจากที่เรา Sign in เข้าสู่ระบบและมี Account เป็นของตัวเองแล้ว  เราจะมีขั้นตอนที่จะต้องปฏิบัติตามอยู่ 3 ขั้นตอนดังนี้ครับ


เริ่มสมัครใช้งาน Google Analytics

การสมัครบัญชีผู้ใช้งาน จะสามารถติดตามได้ 2 แบบได้แก่  เว็บไซต์  และ แอพบนอุปกรณ์เคลื่อนที่  โดยการกรอกรายละเอียดจะแตกต่างกันออกไป

  • เว็บไซต์  ผู้สมัครจะต้องกรอกรายละเอียดดังนี้
    • ชื่อบัญชีผู้ใช้งาน ให้ใส่เป็นชื่อองค์กรของคุณครับ
    • ชื่อเว็บไซต์
    • เลือกหมวดหมู่ของเว็บไซต์
    • URL ของเว็บไซต์ โดยมีให้เลือกทั้ง http, https
    • เขตเวลาการรายงาน ผมเลือกเป็น ไทย : (GMT+07:00) กรุงเทพ
    • การตั้งค่าการเปิดเผยข้อมูล  ตรงนี้ระบบจะเลือกไว้ให้อยู่แล้วครับ หากผู้ใช้งานไม่ต้องการบริการเพิ่มเติมก็สามารถเลือกออกก็ได้ครับ
    • จากนั้นกดปุ่ม รับรหัสการติดตามครับ โดย Google จะให้เราอ่านเงื่อนไขให้การใช้บริการที่มีบอกไว้อย่างละเอียดครับ เมื่ออ่านครบแล้วก็กดยินยอมเงื่อนไขไปครับ ประมาณ 16 เงื่อนไขแล้วระบบจะเข้าสู่เพจ  ผู้ดูแลระบบเพื่อตั้งค่าต่อไป

 

ติดตั้ง โค๊ดติดตาม อย่างถูกวิธีให้กับแอพิเคชั่นของคุณ

สำหรับโค๊ดติดตามที่ Google Analytics  ออกให้จะใช้เชื่อมต่อกันระหว่าง Google Analytics และ แอพิเคชั่น โดยผู้พัฒนาจะต้องนำโค๊ดติดตามไปติดตั้งทุกๆ หน้าของแอพิเคชั่น หรือเว็บไซต์ จากนั้น Google Analytics ก็สามารถตามเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ของเราได้แล้วครับ

  • JavaScript :  อันนี้จะเป็น script ที่เราสามารถ copy ไปติดตั้งที่ เพจของแอพิเคชั่นหรือเว็บไซต์ได้เลยครับ

บริการอื่นๆ ที่ Google เตรียมไว้ให้ และสามารถลิงค์เข้ามาใช้งานได้เลย !
  • Google AdWords
      • AdSense ช่วยคุณสร้างรายได้ด้วยการแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับผู้ชมของคุณบนเว็บไซต์ของคุณเอง เชื่อมโยงความสัมพันธ์เมตริกหลักๆ ของ AdSense อย่าง eCPM กับการแสดงหน่วย โดยใช้ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Analytics

     

  • Google AdSense
      • AdWords คือโปรแกรมโฆษณาออนไลน์ที่ช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้าและทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้น ปรับปรุงแคมเปญโฆษณาของคุณและวิเคราะห์การเดินทางของลูกค้าตลอดทั้งเส้นทาง ตั้งแต่การคลิกโฆษณาไปจนถึงการทำ Conversion

     

  • Google Ad Exchange
      • Ad Exchange ช่วยคุณสร้างรายได้ด้วยการแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับผู้ชมบนเว็บไซต์ของคุณเอง เชื่อมโยงเมตริก Ad Exchange ที่สำคัญ เช่น eCPM และการแสดงผลหน่วย กับข้อมูลเพิ่มเติมจาก Analytics

     

  • BitQuery
    • Google BigQuery เป็นเครื่องมือจาก Google Developers ที่ทำให้สามารถทำการสืบค้นในชุดข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ คุณสามารถส่งออกข้อมูล Session และ Hit จากบัญชี Google Analytics Premium ไปยัง Google BigQuery เพื่อที่จะเรียกใช้การสืบค้นในข้อมูล Analytics ทั้งหมดของคุณได้

     

  • Search Console
      • Search Console สามารถช่วยให้คุณเข้าใจว่าผู้ใช้พบเว็บไซต์ของคุณผ่านการค้นหาของ Google ได้อย่างไร ค้นหาวิธีที่จะดึงดูดความสนใจมายังเว็บไซต์มากขึ้นและจัดลำดับความสำคัญของ งานพัฒนาซอฟต์แวร์

     

    สำหรับตอนที่ 1 เราได้เรียนรู้การสมัครและการติดตั้งโค๊ดติดตามให้กับเว็บไซต์ไปแล้วครับ ทีนี้ Google Analytics ก็เข้าไปเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานของ User ได้แล้วครับ เมื่อ User เข้าไปใช้งานเว็บไซต์เราและเปิดไปแต่หน้าเพจ  Script ที่ถูกติดตั้งไว้แต่ละหน้าก็จะส่งข้อมูลมาเก็บไว้ที่ Google Analytics ครับ  และ Admin สามารถมาดูรายงานนั้นได้ภายหลังซึ่งได้เลยว่าละเอียดมาก แต่ต้องตามไปอ่านในบทความตอนที่ 2 นะครับ สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อนครับ  ขอบคุณมากนะครับสำหรับการเข้ามาอ่าน 🙂

 

 

0 1 Continue Reading →

ถอด Test Script ให้เป็น Robot Script (Robot Framework)

หลังจากที่ทำความเข้าใจกับ Requirement ของระบบงานแล้ว ต่อมา ก็คือการเขียน Test script พอเขียนเสร็จ ก็จะเป็นขั้นตอนของการลงมือ Test ระบบตาม Step ที่เขียนใน Test script ซีงในส่วนของวิธีการที่ทำจะ Test ก็แล้วแต่ว่า Case ไหนเราสามารถทำ Automate test ได้ หรือ Case ไหนที่เราควร Manual Test

โดยในบทความนี้เราจะกล่าวถึงการทำ Automate Test โดยใช้ Robot framework ค่ะ

          “ Robot Framework คือซอฟต์แวร์ Open Source ที่ใช้สำหรับการทำ Acceptance Testing และ ATDD (Acceptance Test-Driven Development) โดยมีรูปแบบ Syntax ที่เป็นภาษาเขียนธรรมดาทำให้การ Test ระบบไม่น่าเบื่ออีกต่อไป ”

 

ตัวอย่างประโยคในการเขียน Test Script

Case 1 : ลงชื่อเข้าสู่ระบบ Facebook  กรณีระบุ Username  และ Password ถูกต้อง ระบบจะแสดงหน้าหลักของเว็บไซต์ Facebook

11

 

จากตัวอย่าง case ข้างต้นเราก็จะเห็น Process การทำงานที่เรียงเป็นลำดับได้ดังนี้

12

 

จาก Process ดังกล่าว เราสามารถนำมาเขียนเป็น Script ใน Robot framework ได้ดังนี้

  1. เริ่มที่การวางโครงสร้างโดยใน sublime สามารถเรียกโครงสร้างของ Robot ได้โดยคลิกขวา > Robot Framework > Snippets

ก็จะปรากฎโครงสร้างส่วนต่าง ๆ ของ Robot ให้เลือกโดยที่เราไม่ต้องพิมพ์เองเลย

13

          บันทึกไฟล์ชื่อ case-1-facebook-login.txt ไว้ในโฟล์เดอร์ที่ต้องการ

14

  1. เมื่อสร้างโครงสร้างเรียบร้อยแล้วก็เริ่มเขียน Test case ได้เลย ในกรอบสี่เหลี่ยมสีชมพูคือคีย์เวิร์ด ที่สั่งให้สคริปทำงานนั่นเองค่ะ สามารถเข้าไปดู Keyword ใน Selenium2Library ได้ที่นี่

15

คำอธิบาย :

Note : ช่องว่างระหว่าง Keyword กับ Argument ต้องห่างกัน 2 วรรคขึ้นไป ไม่เช่นนั้น Robot จะถือว่าเป็น Keyword เดียวกัน

 

  • Open Browser https://www.facebook.com/    gc

คำสั่งเปิดเว็บไซต์ facebook  จากตัวอย่างจะเขียนตามด้วย  gc  คือจะเป็นการกำหนดเว็บบราวเซอร์เปิดโดยเว็บบราวเซอร์ Google Chrome แต่ถ้าไม่มีการกำหนด ก็จะเปิดเว็บไซต์ด้วย Default web browser นั่นคือ Firefox

  • Wait Until Page Contains โลโก้ Facebook

Wait Until Page Contains เป็นคำสั่งที่ตรวจสอบว่า เจอสิ่งที่เราคาดหวังหรือไม่ จากตัวอย่างคือ เมื่อเปิดเว็บไซต์ facebook ขึ้นมาจะต้องเจอ “โลโก้ Facebook” ซึ่งสิ่งที่เราคาดหวังเราจะหาได้โดยการกด inspec ในหน้าเว็บไซต์

16

          ทั้งนี้สิ่งที่เราคาดหวังอาจจะเป็นได้ทั้งข้อความ, รูปภาพ, Text box หรือ Element อื่น ๆ ก็ได้ แต่ Wait Until Page Contains จะใช้ในกรณีสิ่งที่เราคาดหวังเป็น Text เท่านั้น ถ้าสิ่งที่เราคาดหวังเป็นรูปภาพอาจจะใช้คีย์เวิร์ดอื่นแทน เช่น

Wait Until Page Contains Element    <<Element locator>>

          ซึ่ง Element locator ได้แก่

17

เป็นคำสั่งให้กรอกค่าลงไปใน Text box หรือ Text area ซึ่งระบุ Text box ที่ต้องการให้กรอกด้วย Element locator นั่นเอง

  • Input Password pass    xxx

คำสั่งนี้ลักษณะการทำงานจะเหมือนกับ Input Text แต่ค่าข้อมูลที่ระบุลงไปจะเป็นลักษณะของการกรอก Password

18

  • Click Button เข้าสู่ระบบ

เป็นคำสั่งให้คลิกปุ่ม

  • Wait Until Page Contains หน้าหลัก

ตรวจสอบว่าเมื่อคลิกปุ่มเข้าสู่ระบบแล้ว หากกรอกอีเมล์และรหัสผ่านถูกต้อง ระบบจะแสดงหน้าหลักของ Facebok

  • Close Browser

คำสั่งปิดบราวเซอร์ เมื่อเสร็จสิ้นการทำงาน

  1. หลังจากที่เราทำการเขียนครบทุกคีย์เวิร์ดแล้ว กดบันทึกอีกครั้งแล้วทำการรันโดยกด Ctrl+B Robot ก็จะทำงานโดยเริ่มจากคีย์เวิร์ดในบรรทัดแรกไปจนถึงบรรทัดสุดท้าย

19

20

เมื่อรันเสร็จสิ้น Sublime จะแสดงผลการรันดังนี้

21

 

นอกจากนี้ตัว Robot framework ก็จะ Generate Log file หลังจากที่เสร็จสิ้นการรันเป็น .html ไฟล์ ในโฟล์เดอร์เดียวกับไฟล์ .txt ของเราด้วยซึ่งจะมีลักษณะดังนี้

22

 

Note: คีย์เวิร์ด “Wait Until Page Contain” หรือ “Wait …”  เป็นคีย์เวิร์ดที่สำคัญและจำเป็นที่จะต้องมีหลังจากที่เกิดการกระทำกับระบบที่เราทำการ Test เช่น Mouse action ต่าง ๆ เนื่องจากเป็นการกำหนดว่า พอเกิดการกระทำจากคำสั่งใด ๆ แล้วผลลัพธ์เมื่อการกระทำนั้นเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร

 

________________________________________________________________________

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับ Robot framework

________________________________________________________________________

เรียบเรียงโดย

ทัศนีย์ คัดเจริญ
Quality Assurance

 

0 6 Continue Reading →

การติดตั้ง Robot Framework

หลังจากที่ได้รู้จักกับ Robot Framework เบื้องไปแล้วจากบทความ มาทำความรู้จักกับ Robot Framework เบื้องต้น  ในบทความนี้จะกล่าวถึงขั้นตอนของการติดตั้งตัว Robot Framework กันนะคะ

สิ่งที่ต้องมี

  • Python version 2.xx เท่านั้น (Robot Framework ยังไม่รองรับเวอร์ชั่นที่สูงกว่า)
  • Get-pip.py
  • Sublime Text version 2 หรือ 3
  • Web Browser : Firefox

 

ขั้นตอนการติดตั้ง

  1. ดาวน์โหลดและติดตั้ง Python

เข้าไปดาวน์โหลด Python ได้ที่ https://www.python.org/download/releases/2.7.8/  หลังจากนั้นทำการติดตั้ง

  1. หลังจากนั้นทำการเซ็ต Path ของ Python ตามขั้นตอนต่อไปนี้

2.1 คลิกขวาที่ Computer

2.2 เลือก Properties

2.3 ปรากฎหน้า Advanced system settings

2.4 Environment Variables..

2.5 เลือก System Variables แล้วเลือก Path

2.6 คลิกปุ่ม Edit

2.7 จากนั้นทำการเพิ่ม Path “C:\Python27\;C:\Python27\Scripts\” ลงไป

1

  1. ดาวน์โหลดและติดตั้ง get-pip.py

3.1 ทำการดาวน์โหลด get-pip.py จาก  https://bootstrap.pypa.io/get-pip.py

3.2 หลังจากได้ไฟล์ get-pip.py แล้ว คัดลอกไฟล์ไปไว้ในโฟล์เดอร์ที่ต้องการติดตั้ง

3.3 ทำการติดตั้งโดยเข้าไปในโฟล์เดอร์ที่เก็บไฟล์ get-pip.py  ดับเบิลคลิกที่ไฟล์ ก็จะเป็นการเริ่มติดตั้ง

3.4 เปิด cmd (command prompt) เพื่อตรวจสอบเวอร์ชันของ pip ที่ทำการติดตั้ง โดยพิมพ์คำสั่งต่อไปนี้

pip –version

2

  1. ทำการติดตั้ง Robot Framework ผ่าน pip โดยพิมพ์คำสั่ง

 

pip install robotframework

  1. ทดสอบว่าติดตั้งสำเร็จและสามารถใช้งานได้ โดยพิมพ์คำสั่ง

 

pybot –version

3

  1. ติดตั้ง Library ที่จะใช้งาน โดยในที่นี้เราจะใช้งาน Selenium ก็สามารถติดตั้งโดยใช้คำสั่งต่อไปนี้

 

pip install robotframework-selenium2library

 

  1. ติดตั้ง Sublime Text Editor

7.1 ติดตั้ง Sublime Text เวอร์ชัน 2 หรือ 3 ในที่นี้เราจะติดตั้งเวอร์ชัน 2

7.2 ติดตั้ง Package Control โดยเข้าไปคัดลอกซอร์สโค๊ดจาก   https://sublime.wbond.net/installation#st2

6

        7.3 เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ทำการเปิดโปรแกรม Sublime Text ขึ้นมา จากนั้นเลือก View เลือก Show Console จากนั้นนำซอร์สโค๊ดที่คัดลอกไว้ใน 7.2 มาวางใน Console รอให้มันทำการติดตั้ง Package Control สักครู่

8

        7.4 หลังจากนั้น ทำการปิดโปรแกรม Sublime แล้วเปิดอีกครั้ง เพื่อเป็นการ Restart โปรแกรม

7.5 เมื่อ Restart Sublime เรียบร้อยแล้วขั้นตอนสุดท้าย คือการ install package Robot Framework เพื่อสามารถรันผ่าน Sublime ไปที่ Preferance > Package Control

4

จากนั้นพิมพ์คำว่า install เลือก install package

5

พิมพ์ Robot Framework

9

 

________________________________________________________________________

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับ Robot framework

________________________________________________________________________

เรียบเรียงโดย

ทัศนีย์ คัดเจริญ
Quality Assurance

 

 

0 0 Continue Reading →

การตั้งค่า Shipping method ใน Magento 2

Magento 2 นั้น เราสามารถตั้งค่า rate การจัดส่งสินค้าได้ ทั้งหมด 4 แบบ

  1. Free Shipping
  2. Flat Rate
  3. Table Rates
  4. Dimensional Weight

 

อันแรกที่จะอธิบายคือการตั้งค่าแบบ Free Shipping เราสามาถตั้งค่าเพื่อดึงดูดลูกค้าของเราได้อย่างแน่นอน แล้วส่วนมากลูกค้าก็จะชอบเงื่อนไขแบบนี้มาก ตัวอย่างเช่น ถ้าเราซื้อสินค้าครบ  500 บาท ค่าจัดส่งสินค้าฟรี เป็นต้น

ขั้นตอนแรกในการตั้งค่า Free Shipping

  1. ไปที่ Stores -> Configuration-> Sale -> Shipping Methods -> Free Shipping
  2. ตั้งค่า Enable เป็น Yes
  • ตั้งชื่อ Title
  • หลังจากเพิ่ม Title แล้วก็ต้องใส่ Method Name เข้าไปด้วย
  • กำหนด Minimum Order Amount
  • ในกรณีที่เกิดข้อผิดพลาดเราสามารถกำหนดข้อความที่ต้องการแสดงได้ผ่านทาง Displayed Error Message
  • กำหนดพื้นที่การจัดส่งได้ว่าจะเลือกอนุญาตทุกประเทศเลยหรือเลือกเฉพาะบางประเทศ(All Allow Countries or Specific Countries)
  1. กรอกข้อมูลเสร็จแล้วให้ไปที่ Save Config

 

1

2

 

2. Flat Rate Shipping 

เจ้าของร้านค้าบนเว็บไซต์สามารถ fix ค่า ของการจัดส่งสินค้าในสินค้าแต่ละอันได้

ขั้นตอนในการกำหนดค่า Flat Rate Shipping

  1. ไปที่ Stores -> Configuration-> Sale -> Shipping Methods -> Flat Rate
  2. ตั้งค่า Enable เป็น Yes
  • กรอก Method name
  • Type ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าของร้านเองเลยว่าจะกำหนด รูปแบบของ Type เป็น Per Order หรือ Per Item
  • ตั้งราคาที่เจ้าของร้านต้องการจะเก็บค่าขนส่งสินค้าจากลูกค้า
  • ในการคำนวนค่าธรรมเนียมค่าจัดส่งสินค้า Calculate Handing Fee สามารถกำหนดเป็นค่าคงที่ไปเลยก็ได้หรือจะกำหนดให้คิดเป็น Percent ก็ได้
  • ในกรณีที่เกิดข้อผิดพลาดเราสามารถกำหนดข้อความที่ต้องการแสดงได้ผ่านทาง Displayed Error Message
  • กำหนดพื้นที่การจัดส่งได้ว่าจะเลือกอนุญาตทุกประเทศเลยหรือเลือกเฉพาะบางประเทศ(All Allow Countries or Specific Countries)
  1. โดยกรอกข้อมูลตามช่องที่กำหนดให้มาแล้ว กด Save config

 

3

5

3.Table Rate Shipping

การคิดค่าขนส่งแบบ Table rate จะเป็นการคิดค่าขนส่งตามน้ำหนัก, ปลายทางที่ส่ง หรือ ราคาสินค้าที่ลูกค้าซื้อ

ขั้นตอนการตั้งค่า Table Rate Shipping

  1. ไปที่ Stores -> Configuration-> Sale -> Shipping Methods -> Table Rate
  2. ตั้งค่า Enable เป็น Yes
  • กรอก Method name ชื่อที่ตั้งนี้จะไปแสดงที่หน้า Checkout ด้วย
  • ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญนั้นก็คือเลือกคำนวณค่าจัดส่ง การคำนวณค่าจัดส่งจะถูกแบ่งเป็น 3 วิธีที่แตกต่างกัน
  • 1. Weight VS Destination
  • 2. Price VS Destination
  • 3. No. of Items VS Destination
  • ในการคำนวนค่าธรรมเนียมค่าจัดส่งสินค้า Calculate Handing Fee สามารถกำหนดเป็นค่าคงที่ไปเลยก็ได้หรือจะกำหนดให้คิดเป็น Percent ก็ได้
  • ในกรณีที่เกิดข้อผิดพลาดเราสามารถกำหนดข้อความที่ต้องการแสดงได้ผ่านทาง Displayed Error Message
  • กำหนดพื้นที่การจัดส่งได้ว่าจะเลือกอนุญาตทุกประเทศเลยหรือเลือกเฉพาะบางประเทศ(All Allow Countries or Specific Countries)
  1. โดยกรอกข้อมูลตามช่องที่กำหนดให้มาแล้ว กด Save config

 

7

8

 

4. Dimensional Weight

วิธีการนี้คือการคิดค่าขนส่งสินค้าตาม rate ของบริษัทส่งสินค้า เช่น FedEx ,DHL, UPS

สุดท้ายนี้ในการกำหนดค่าshipping method สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่ใช้ magento 2 ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้ function ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณได้ เพื่อเพิ่มยอดขายให้แก่ร้านค้าของคุณ ผู้เขียนได้ทดลองใช้ shipping method ระหว่าง magento 1 และ magento 2 ผู้เขียนได้เห็นว่ามีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยในเรื่องของ interface แต่โดยส่วนตัวผู้เขียนชอบ interface ของ magento 2 มากกว่า

Kanyarat Povorasin

0 0 Continue Reading →

สตรีมได้รับ Magento 2 Certificate ที่แรกของไทย!!!

Stream it passed the magento 2 training solution partner

บริษัท สตรีม ไอ.ที. คอนซัลติ้ง จำกัด เป็น Partner หนึ่งเดียวของไทยที่ Magento กล้าการันตีว่าเราเป็นผู้เชี่ยวชาญใน Magento e-commerce Platform และสตรีมได้รับ Magento 2 Training Certificate อย่างเป็นทางการ

  • เราคือผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนา Magento 2 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ถ้าคุณให้ทีมงานของเราพัฒนาระบบ e-commerce เพื่อใช้ในธุรกิจ  คุณจะได้ระบบที่มีคุณภาพ ใช้งานได้จริง และสามารถสร้างกำไรให้กับธุรกิจของคุณได้เป็นอย่างดี
  • ลูกค้าส่วนใหญ่ได้ให้ความไว้วางใจเรา

Magento 2 Trained program ทำอะไรบ้าง?

Requirement:

1.Front End developer หนึ่งคน ต้องลงทะเบียนและเรียนรู้ในหัวข้อต่างๆของคอร์ส Core Principles for Theming in Magento 2.

2.Developer สองคน ต้องลงทะเบียนและ ดูทั้ง 5 Training module สำหรับ Fundamentals of Magento 2 Development ให้จบ.

Process:
– Developer จะต้องลงทะเบียนเรียนคอร์ส Fundamentals ของ Magento 2 ให้ครบทุกบท

-เราจะใช้ Developer หนึ่งคนในการลงทะเบียน Magento 2 Trained Partner จากหน้านี้ คลิกดูลิงค์เพิ่มเติม หลังจากเราได้เรียนบทเรียนครบหมดแล้ว ลงทะเบียนเสร็จเราจะสามารถเข้าถึงกิจกกรมผ่านทางMagento U

Course activities included
– Developer ที่ลงทะเบียนเรียนจะต้องทำแบบทดสอบให้เสร็จตรงตามที่กำหนดไว้ และทำการส่งให้ทางผู้จัดคอร์สเรียนเพื่อทำการตรวจต่อไป
– Developer ที่ลงทะเบียนทุกคนจะต้องทำแบบสำรวจความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเรียน Fundamentals ของ Magento 2 ให้เสร็จสมบูรณ์ในแต่ละบท

 

Prawit SaraphanKanyarat Povorasin

เขียนโดย Magento Team @ Stream I.T Consulting Ltd.

0 0 Continue Reading →

“Real-Time Payments Breakfast Briefing” by Stream IT Consulting

IMG_2961

สตรีม ไอที คอนซัลติ้ง ร่วมกับพันธมิตร D+H

ซึ่งเป็นผู้นำเทคโนโลยีด้านระบบการชำระเงินมาตรฐานโลกให้กับทางธนาคารขนาดใหญ่
จัดงาน “Real-Time Payments Breakfast Briefing” ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2559
ณ โรงแรม St. Regis เพื่อเปิดตัวเทคโนโลยี Global Pay Plus
สำหรับรองรับการขยายตัวของธุรกิจธนาคารไปสู่ภูมิภาคอื่นๆทั่วโล
การทำแซทเทิลเมนต์และคิดค่าธรรมเนียมการบริการต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
รวมถึงการเชื่อมต่อกับโครงสร้างพื้นฐานของระบบการชำระเงินแห่งชาติ
NPMS (National Payment  Message Standard) บนมาตราฐาน ISO20022
ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไท

งานนี้ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในภาคธนาคารต่างๆให้การตอบรับที่ดีและเข้าร่วมงานอย่างเนืองแน่น
โดยมีผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมทางการเงินมาแชร์ประสบการณ์ที่ทำให้กับ
Singapore’ s Fast and Secure Transfers (FAST) และ Australia’ s New
Payments Platform (NPP) รวมถึงเทรนใหม่ๆของ Immediate Payments Globally
ที่จะเสริมศักยภาพด้านการชำระเงินให้กับ P2P, C2B, B2C, B2B, G2C/C2G
โดยใช้ Payment Modernization Platform จากทาง D+H และสตรีม ไอที
คอนซัลติ้งจะเป็นผู้สนับสนุนบริการตามมาตรฐานของธนาคารเพื่อผลักดันให้
ธนาคารในบ้านเราสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ต่อไป

ภาพบรรยากาศในงาน

0 2 Continue Reading →

How to install Magento CE 2 and Sample Data

How to install Magento CE 2 and Sample Data

Screen Shot 2559-03-23 at 3.35.06 PM

Magento Community Edition 2.0.2

สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาแนะนำวิธีการติดตั้ง  Magento CE 2  ที่แสนง่ายดายนะครับ เมื่อไม่นานมานี้ทางผู้พัฒนา eCommerce  รายใหญ่อย่าง Magento  ได้ปล่อยซอฟแวร์ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ล่าสุดชื่อว่า Magento Community Edition 2.0  ให้ดาวโหลดแล้วในหน้า  เว็บไซต์ของ Magento  ซึ่งได้ออกแบบและปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนาใหม่ทั้งหมด ส่งผลดีต่อระบบคือ ความเร็วเพิ่มขึ้น ใช้หน่วยความจำน้อยลง ที่สำคัญคือเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยดีกว่าเดิม จากนั้นก็พัฒนาแก้ไขข้อผิดพลาดที่พบในขณะใช้งานจากนักพัฒนาทั่วโลก ปรับให้รองรับการทำงานบน PHP 7 ทำให้มีการอัพเดทซอฟแวร์เป็นเวอร์ชั่น 2.0.1 และภายหลังอาทิตย์เดียวก็มีการออกเวอร์ชั่น 2.0.2  เพื่อแก้ไขปัญหาของการอัพเดท แต่ไม่ได้แก่ไขบัคใดๆ  ผมขอใช้เวอร์ชั่นล่าสุดในการติดตั้งนะครับ

Screen Shot 2559-03-23 at 3.35.31 PM

Guide line

 

  • เลือกวิธีการติดตั้งที่คุณต้องการ
  • เลือกติดตั้งแบบไหนดี ?
    การติดตั้ง Magento CE 2.0.2  สามารถเลือกติดตั้งได้ 2 วิธีไดเแก้
  • กรณีที่ไม่ติดตั้ง Sample Data  เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วจะมีเพียงระบบเท่านั้น จะไม่มีตัวอย่างสินค้าในระบบครับ แต่วิธีการติดตั้งไม่ต้องพิมพ์คำสั่ง  Command line ครับข้อดีคือ ไฟล์ดาวโหลดมีขนาดเล็ก
  • กรณีติดตั้ง Sample Data  ทดสอบที่ทางผู้พัฒนาให้มากับซอฟแวร์ครับ  เป็นข้อมูลร้านค้าขายสินค้าชื่อว่า  Luma  เมื่อเลือกติดตั้งแบบ Sample Data แล้วจะมีหน้าร้านเป็น Luma  เลยครับสามารถทดสอบใช้งานระบบได้ทันที แต่การติดตั้งมีการใช้คำสั่ง Comand line นิดหน่อยนะครับ  ข้อเสียคือ ไฟล์ที่ดาวโหลดมีขนาดใหญ่ครับ

 

    • ดาวโหลด Magento CE 2.0.2
      คุณสามารถเข้าไปเลือกดาวโหลดได้จากเว็บไซต์ของผู้พัฒนาเลยครับ  คลิกเพื่อดาวโหลด  โดยเลือกดาวโหลดได้ทั้งแบบไม่ต้องมี Sample Data  และมี  Sample Data  แต่ขนาดไฟล์ก็จะแตกต่างกันไปครับ แนะนำให้ดาวโหลดไปไฟล์ zip นะครับ

Screen Shot 2559-03-23 at 3.36.28 PM

 

  • ความต้องการของระบบก่อนทำการติดตั้ง Magento CE 2.0.2  ควรเช็คว่าซอฟแวร์ต้องการอะไรบ้าง เพื่อความถูกต้องและสมบูรณ์ของระบบ

 

    • ระบบปฏิบัติการ :  Linux distributions such as RedHat Enterprise Linux(RHEL), CentOS, Ubuntu, Debian และอื่นๆ
      • โน๊ต :  ผู้เขียนใช้  Linux ubuntu 14.04
    • Apache 2.2 หรือสูงกว่า
      • โน๊ต :  ผู้เขียนใช้  apache 2.2
    • PHP 5.5.X ,  PHP 5.6.x , หรือสูงกว่า
      • โน๊ต :  Magento CE 2  ไม่รองรับ  PHP  5.4
      • โน๊ต :  ผู้เขียนใช้  PHP 7
    • PHP Extensions ที่จำเป็น
      • PDO/MySQL
      • mbstring
      • mcrypt
      • mhash
      • simplexml
      • curl
      • gd2, imageMagick  6.3.7 หรือมากกว่า
      • soap
      • intl
      • bc-math
      • openssl
    • MySQL 5.6.x
      • โน๊ต : ผู้เขียนใช้  MySQL 5.6.28
    • Composer  1.x  
      • โน๊ต :  composer มีไว้เพื่อใช้ในการดาวโหลด  Package หรือ library  ที่จำเป็นของระบบจากแหล่งต่างๆ ที่ถูกกำหนดไว้ในไฟล์ composer.json
    • Mail Transfer Agent (MTA) หรือ SMTP Server
    • ไม่บังคับแต่ควรมีไว้
      • php_xdebug 2.2.x  เพื่อใช้ในการ Debug เวลาพัฒนา  Extensions ร่วมกับ  Magento CE 2
      • PHPUnit 4.1.x  เพื่อใช้ในการเขียน Unit test

 

  • ติดตั้ง  Magento CE 2.0.2

    เมื่อคุณตรวจสอบความถูกตามที่ระบบต้องการเสร็จสมบูรณ์แล้ว สามารถทำตามขั้นตอนการติดตั้งดังต่อไปนี้ได้เลยครับ

 

ทำการ Extract file Zip  ที่ดาวโหลดมาและ  Copy  ไปวางไว้ที่  Web root  ของผู้เขียนจะอยู่ที่  var/www/html/

Screen Shot 2559-03-23 at 3.37.24 PM

    • สร้างฐานข้อมูล

Screen Shot 2559-03-23 at 3.38.13 PM

    • Composer install  และ Deploy  Sample Data

Composer Install
เปิด  Command Line  ขึ้นมาจากนั้นก็เข้าไปในตำแหน่งในโฟล์เดอร์ของ Package ใน  Web root  ถ้าเป็น Linux  อย่าลืมเปลี่ยนผู้ใช้งานเป็น  root ด้วยนะครับ จากนั้นพิมพ์คำสั่ง
php composer.phar  install

Screen Shot 2559-03-23 at 3.38.47 PM

      • จากนั้น Composer จะไปตรวจสอบเวอร์ชั่นของ Library และดาวโหลด  Library  มาไว้ใน  Package  หากไม่มีการแก้ไขเวอร์ชั่น ก็จะไม่ดาวโหลดลงมาแบบตัวอย่าง

Deploy Sample Data
เพื่อไปตรวจเช็คและอัพเดทข้อมูล  Sample Data  จากเว็บหลักของ Magento  ต้องแน่ใจก่อนว่าคุณทำถูกวิธี  ดูคำอธิบายเพิ่มเติม  นอกจากนั้นคุณจะต้องสร้าง Authentication Key  และนำมาใช้ในการ  Composer Add Key   และท้ายสุดก็สามารถทำการ  deploy  ได้ครับ
php bin/magento sampledata:deploy

Screen Shot 2559-03-23 at 3.39.13 PM

    • ติดตั้ง Magento มีทั้งหมด  7  ขั้นตอน

      ใช้โปรแกรม web browser ที่คุณใช้เป็นประจำ ระบุ  URL  ไปที่ตำแหน่งที่คุณวาง Package  ไว้ใน Web Server  ผู้เขียนใช้  127.0.0.1/mage2  นะครับ

      • ขั้นตอนที่ 1  :  Agree and Setup เป็นหน้าแรกสำหรับการติดตั้ง กดปุ่ม Agrea and Setup Magento เพื่อสู่ขั้นตอนต่อไป

 

Screen Shot 2559-03-23 at 3.40.14 PM

 

      • ขั้นตอนที่ 2  :  ตรวจสอบความถูกต้องของระบบก่อนติดตั้ง  หากผ่านทุกขั้นตอนคลิกปุ่ม Next เพื่อไปสู่ขั้นตอนต่อไป

Screen Shot 2559-03-23 at 3.40.48 PM

      • ขั้นตอนที่ 3 :  ติดตั้งฐานข้อมูล เมื่อตั้งค่าเสร็จแล้วคลิกปุ่ม Next เพื่อสู่ขั้นตอนต่อไป
        • Database Server Host :  กรอกชื่อ หรือ IP ของโฮสต์ ค่าเริ่มต้นคือ  localhost
        • Database Server Username :  กรอกชื่อผู้ใช้งาน ค่าเริ่มต้นคือ root
        • Database Server Password :  กรอกรหัสผู้ใช้งาน
        • Database Name :  กรอกชื่อฐานข้อมูล
        • Table prefix :  กรอกคำนำหน้าตาราง (สามารถเว้นว่างได้)

 

Screen Shot 2559-03-23 at 3.41.25 PM

      • ขั้นตอนที่ 4  :  ตั้งค่าเว็บไซต์  เมื่อตั้งค่าเสร็จแล้วคลิกปุ่ม Next เพื่อสู่ขั้นตอนต่อไป
        • Your Store Address : คือ url ของเว็บไซต์หน้าบ้านสำหรับลูกค้า
        • Magento Admin Address : คือ url ของเว็บไซต์หลังบ้านสำหรับผู้ดูแลระบบ

 

Screen Shot 2559-03-23 at 3.41.54 PM

 

      • ขั้นตอนที่ 5  :  ตั้งค่าโซนเวลา ภาษา และสกุลเงิน  เมื่อตั้งค่าเสร็จแล้วคลิกปุ่ม Next เพื่อสู่ขั้นตอนต่อไป
        • Store Default Time Zone :  เลือกโซนเวลาที่ใช้ภายในร้านค้า
        • Store Default Currency  :  เลือกสกุลเงินที่ใช้ภายในร้านค้า
        • Store Default Language :  เลือกภาษาที่ใช้ภายในร้านค้า

Screen Shot 2559-03-23 at 3.42.31 PM

 

      • ขั้นตอนที่ 6  :  ตั้งค่าร้านค้า เมื่อตั้งค่าเสร็จแล้วคลิกปุ่ม Next เพื่อสู่ขั้นตอนต่อไป
        • New Username :  กรอกรหัสผู้ใช้สำหรับผู้ดูแลระบบ
        • New Email :  กรอกอีเมล์ผู้ใช้งาน
        • New Password : กรอกรหัสผ่านผู้ใช้งาน
        • Confirm Password : กรอกยืนยันรหัสผ่านผู้ใช้งาน

Screen Shot 2559-03-23 at 3.43.09 PM

      • ขั้นตอนที่ 7  :  ติดตั้งระบบใช้เวลาไม่นาน หากติดตั้งใน Linux  แนะนำให้  Change Permission Package ก่อนเพื่ออนุญาตให้ระบบสามารถอ่านไฟล์และเขียนไฟล์ได้

 

Screen Shot 2559-03-23 at 3.43.40 PM

เมื่อติดตั้งเสร็จสมบูรณ์จะแสดงผลลัพธ์แบบนี้ ระบบจะแจ้งสิ่งที่จำเป็นในการเรียกใช้งานระบบทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน คุณควรจดจำให้ดี แนะนำให้เขียนใส่โน๊ตไว้เพื่อป้องกันลืมครับ

 

Screen Shot 2559-03-23 at 3.44.11 PM

    • ตัวอย่างหน้าร้าน LUMA

Screen Shot 2559-03-23 at 3.45.01 PM

 

    • ตัวอย่างหลังหลังบ้าน Admin login

 

Screen Shot 2559-03-23 at 3.45.31 PM

 

Prawit Saraphan

ขอขอบคุณภาพประกอบภาพที่ 1 จากเว็บไซต์ magento
เขียนและเรียบเรียงโดย  Prawit Saraphan

 

0 0 Continue Reading →

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายการใช้คุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save