Skip to Content

Blog Archives

จาก Start up สู่แบรนด์เครื่องสำอางระดับโลก ดัง ปัง บน Amazon โดยใช้กลยุทธ์การตลาดแบบวิดีโอดึงลูกค้าใหม่

มาทำรู้จักกับเรื่องราวของ Start up ร้านค้าปลีกเครื่องสำอาง ชื่อ KF Beauty ที่ทำสื่อผ่านทางช่องทางวีดีโอโซเชียลมีเดีย เพิ่มลูกค้ารายใหม่มากกว่าพันราย และได้ Feedback ที่สำคัญมากมายจากลูกค้า

Malinsky และ ผู้ร่วมก่อตั้ง Jon Davidman  ได้สร้างแบรนด์ KF Beauty ในปี 2013 พร้อมกับผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม KeraFiber ในปี 2015 ทั้งคู่ได้ซื้อ WunderBrow ซึ่งเป็นเครื่องสำองค์แต่งคิ้ว ในปัจจุบัน ธุรกิจของทั้งคู่ได้จำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมความงามใน 27 ประเทศ มีสินค้า 21 sku และ เพิ่มยอดขายขึ้น 800% เมื่อเทียบเป็นรายปีในปี 2016 และสร้างรายได้จากช่องทางออนไลน์เป็นหลายล้านดอลลาร์

ร้านค้าปลีกเครื่องสำอาง WunderBrow และ KF Beauty ถือว่า Amazon เป็นช่องทางการขาย ช่องทางที่ 3  ซึ่งประมาณ 75% ของยอดขายทั้งหมดมาจาก Amazon โดยตรง

Malinsky ceo ของ KF Beauty ได้กล่าวว่า เป้าหมายของการขายสินค้านั้น คือ การเพิ่มความผูกผันของผลิตภัณฑ์และแบรนด์ ให้ตรงใจลูกค้า ซึ่งสามารถขายสินค้าให้กับลูกค้าได้มากขึ้น และมีลูกค้าที่กลับมาซื้อสินค้ารวมทั้งแนะนำผลิตภัณฑ์ให้แก่คนรอบข้างเพิ่มขึ้น ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 40%

ยอดขายส่วนใหญ่ของ KF Beauty มาจาก Amazon โดยตรง เนื่องจากเว็บไซต์ Amazon มีการซื้อขาย และบริการจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้า และทาง Amazon ยังมีการแจ้งเตือนระดับสต็อกสินค้า ก่อนที่จะหมด จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ของ KF Beauty ไม่เคยขึ้น Out of Stock บน Amazon

ในด้านกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ เดิมที KF Beauty ทำการตลาดผลิตภัณฑ์คิ้วให้กับผู้หญิงอายุ 45 ปีขึ้น ไปเนื่องจากพวกเธอมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาเรื่องผมร่วงหรือขนคิ้วบางขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม KF Beauty ตระหนักดีว่าผู้บริโภคอายุ 20 ปี ก็มีความสนใจในการแต่งคิ้ว ดังนั้นจึงเปลี่ยนกลยุทธ์นำ WunderBrow มาเจาะตลาดกลุ่มผู้บริโภคช่วงอายุวัยรุ่นแทน

Malinsky  กล่าวว่า เรารู้ว่ามีผู้บริโภคที่อายุน้อยจำนวนมากที่มีศักยภาพ ถ้าเราหาทางเชื่อมต่อกับผู้บริโภคที่อายุน้อยกว่า และส่งข้อความที่ โดน ให้แก่ผู้บริโภค Malinsky  จึงเลือกใช้วิดีโอโซเชียล เช่น  Facebook เพื่อกระจายข่าวเกี่ยวกับแบรนด์และเข้าถึงผู้บริโภคที่อายุน้อย

ในการทำวิดีโอผลิตภัณฑ์ จะไม่เหมือนโฆษณาแบบสมัยก่อน แต่จะใช้ Blogger และ Youtube หรือ นำดารา เน็ตไอดอลที่มีอิทธิพลบน Social นำเสนอเคล็ดลับในการใช้งานผลิตภัณฑ์ WunderBrow ให้แก่ผู้บริโภค

กลยุทธ์ในการทำวิดีโอคือ ควรจะจัดทำวิดีโอที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับระดับความเข้าใจหรือความเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ เช่น เพิ่งเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ หรือพอรู้จักผลิตภัณฑ์มาบ้าง ขั้นต่อไปก็ควรให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่ตรงกับความต้องการมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น วิดีโอเปิดตัว นำเสนอภาพรวมของผลิตภัณฑ์ WunderBrow  วิดีโอต่อไปเริ่มแสดงจุดเด่นผลิตภัณฑ์  เช่น ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่กันน้ำหรือผลิตจากพืชที่รับประทานได้ ปลอดภัย

สำหรับผู้บริโภคที่คุ้นเคยกับแบรนด์ แต่ยังไม่ได้ซื้อ วิดีโอถัดไปจะย้ำให้ผู้บริโภคทราบว่า ผู้ค้าเสนอการจัดส่งฟรีและนโยบายการคืนสินค้าที่ไม่มีคำถามวุ่นวายกวนใจ โดยรวมแล้วจะใช้เวลาถึง 15 วิดีโอเพื่อหาลูกค้าใหม่

วิดีโอของ KF Beauty กำลังเข้าถึงกลุ่มผู้ชมเป็นจำนวนมาก เนื่องจากวิดีโอสามารถมีผู้ชมนับล้านวิว มีคนนับร้อยนับพันที่ชอบ และมีผู้ชมอีกกว่า 100 ถึง 10,000 คน แสดงความคิดเห็น ซึ่งความคิดเห็นเหล่านั้น ผู้ค้าควรจะตอบกลับให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความคิดเห็นเชิงบวกหรือเชิงลบก็ตาม

ตัวอย่างความคิดเห็นเชิงลบ หากลูกค้าแสดงความเห็นว่า ฉันเกลียดสินค้าตัวนี้

      แทนที่จะลบความคิดเห็นนี้ เราจะตอบกลับไปว่า  “ทางเราเสียใจที่ได้ยินแบบนี้ แต่นโยบายของเราหากมีการคืนสินค้า เราจะไม่มีการสอบถาม และ มีรับประกันการคืนเงินภายใน 30 วัน สุดท้ายเราจะพยายามปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ดีที่สุด  การตอบกลับความคิดเห็นเชิงลบเหล่านี้ทำให้ร้านค้ามีการปรับปรุงคุณภาพสินค้าและทำให้สร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าที่มีอยู่และผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าในอนาคต

KF Beauty มีพนักงานทั้งหมด 60 คน โดยมีพนักงานถึง 12 คนทำหน้าที่ติดต่อสื่อสารและรับฟังความเห็นจากลูกค้า นั่นคือ 1 ใน 5 ของคนทั้งหมดในบริษัท แสดงถึงการให้ความสำคัญกับลูกค้า ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ลูกค้าพอใจ ประทับใจ และนำไปสู่การสร้างรายได้ระยะยาวของบริษัทต่อไป

จากกลยุทธ์ของทาง KF Beauty จะเห็นว่ามีการใช้วิดีโอ อย่างชาญฉลาดบน โลก Social และเน้น customer centric ยึดความพอใจของลูกค้าเป็นหลัก ไม่ลบความเห็นเชิงลบ แถมตอบกลับแบบสวยๆ ได้ใจลูกค้าทั้งใหม่และเก่าแบบเนียนๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่ยอดขายของบริษัทจะพุ่งและมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

 

Credit:https://www.digitalcommerce360.com/2017/03/13/wunderbrow-raises-profile-on-amazon-and-video-marketing-strategy/

Proto credit: https://50shadesofjadebeauty.wordpress.com/2016/02/22/my-wunderbrow-experience/

 

 

แปลและเรียบเรียงโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

 

0 0 Continue Reading →

เพิ่มยอดขายในเว็บไซต์ E-Commerce ด้วยการทำ Personalization (Part II)

เพิ่มยอดขายในเว็บไซต์ E-Commerce ด้วยการทำ Personalization (Part II)

 

ในบทความก่อนหน้านี้ได้พูดถึงการเพิ่มยอดขายสำหรับเว็บไซต์ E-commerce ด้วยการทำ Personalization ไปบางส่วนแล้ว ในบทความนี้ผมจะขอเพิ่มเติมกลยุทธ์อื่นๆ ที่จะทำให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จ ได้แก่

1.Wish list

Wish list คือสิ่งที่คนเข้ามาดูในเว็บไซต์ปรารถนา การมี function Wish list ทำให้เรารู้ว่า ลูกค้าต้องการสินค้าชิ้นนั้นๆ แต่ราคาอาจจะยังไม่โดนใจหรือสินค้าหมด stock แล้วของยังไม่มา เมื่อเจ้าของเว็บไซต์รู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ก็จัดโปรโมชั่นที่ตรงกับความต้องการลูกค้า เช่น ราคาโดนๆ แล้วแจ้งไปทางอีเมลเพื่อจูงใจให้ลูกค้ากลับมาซื้อ หรืออาจจะจัดกิจกรรมแจกคะแนนสะสมหรือคูปอง โดยให้ลูกค้าแชร์ wish list ผ่านหน้า Facebook, Line หรือ Social Media อื่นๆ ซึ่งจะทำให้เกิดการแชร์ ขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น

2.Subscribe Newsletters

ในเว็บไซต์ควรจะทำ Subscribe Newsletters ในหน้า Home page และควรทำเป็น pop up ขึ้นมา เพื่อให้ลูกค้าเห็นได้ชัดเจน อาจจะใส่เนื้อหาโปรโมชั่น สินค้า หรือให้ส่วนลดคูปอง หรือ ให้ point เพื่อจูงใจให้ลูกค้า subscribe ให้ลูกค้าได้ติดตามข่าวสาร และโปรโมชั่นของร้านค้าผ่านทางอีเมล

3.Email

การส่งอีเมลไปหาลูกค้า ทำยังไงให้ลูกค้าเปิดอ่าน และกลับเข้ามาซื้อสินค้ากับทางเว็บไซต์อีก หากส่งมากเกินไปอาจจะทำให้ลูกค้ารำคาญ ได้ จะเมื่อใดถึงจะได้ผลดี

Abandon cart with coupon

กว่า 60% ของลูกค้าที่เข้ามาเว็บไซต์แล้วไม่ชำระสินค้า เนื่องจากลูกค้าบางส่วน ไม่มั่นใจในความปลอดภัยในการชำระเงินของเว็บไซต์หรือตกใจกับค่าขนส่ง หรือยอดรวมเงินที่ชำระในตระกร้าสูงเกินไป เมื่อเรารู้แบบนี้ อาจจะต้องใช้วิธีการส่ง Email Marketing เพื่อส่งโปรโมชั่นคูปองลดราคาสินค้า หรืออาจจะเป็นเสนอบริการชำระเงินค่าสินค้าปลายทาง ผ่านทาง Email ให้แก่ลูกค้า เพื่อให้กลับมาชำระเงิน

New Register with coupon

การที่จะให้ลูกค้าลงทะเบียนในเว็บไซต์ของเราเป็นเรื่องที่ยาก แต่เป็นไปได้ถ้าหากเรามีสิ่งจูงใจให้ ไม่ว่าจะเป็นคูปอง หรือให้คะแนนสะสมแก่คนที่มาลงทะเบียนเว็บไซต์ของเรา

Email Marketing

การทำ Email Marketing เป็นเครื่องมือหนึ่ง ที่มีประสิทธิภาพสูง  เข้าถึงกลุ่มลูกค้าจำนวนมากได้ง่าย แต่ต้องมีเนื้อหาที่โดนใจ มีความสมดุล ระหว่างเนื้อหาและโปรโมชั่น และอย่าลืมใส่ link กลับมาในเว็บไซต์ด้วยนะครับ ส่วนเครื่องมือที่ใช้ทำ แนะนำ Mail Chimp

 

4.Location

ค่าขนส่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ในเว็บไซต์ควรจะมีการคำนวนค่าขนส่งแบบ Location Base และแสดงประเภทการจัดส่งที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น  Express , Standard, Pick up at Store  ให้ลูกค้าเลือก ซึ่งบริการขนส่งหรือศูนย์กระจายสินค้ามีมากมายให้บริการ และสามารถเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ได้อย่างสบายๆ เช่น DHL , Kerry , UPS

 

หากสนใจที่จะเพิ่มยอดขายให้กับ E-Commerce  สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

เขียนโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

0 2 Continue Reading →

เพิ่มยอดขายในเว็บไซต์ E-Commerce ด้วยการทำ Personalization

เพิ่มยอดขายในเว็บไซต์ E-Commerce ด้วยการทำ Personalization

หากทำธุรกิจเว็บไซต์ E-Commerce ในปัจจุบัน โดยที่มีแต่การแสดงสินค้า แล้วรอให้ลูกค้ามาซื้อนั้น คงไม่พออีกต่อไป

เมื่อลองมองดูธุรกิจอื่นๆ รอบตัว ยกตัวอย่างเช่น ร้านโชห่วย หลายคนอาจจะมีคำถามผุดขึ้นมาว่า ในยุคนี้ที่ modern trade ที่เรารู้จักกันดีอย่าง 7-11 หรือ Lotus Express นั้นขึ้นทั่วเมืองเป็นดอกเห็น ทำไมร้านโชห่วยบางร้าน ถึงยังสามารถยืนหยัดอยู่ในสนามแข่งขันที่ดุเดือดนี้ได้ ทั้งๆ ที่ราคาสินค้าเท่ากันหรืออาจจะแพงกว่าด้วยซ้ำ หนึ่งในเหตุผลที่สำคัญคือ ร้านเหล่านั้นเห็นลูกค้าเป็นคนสำคัญ  จดจำรายละเอียดของลูกค้าแต่ละคนได้ ไม่ว่าจะเป็น ชื่อลูกค้า สินค้าที่ลูกค้าซื้อบ่อยๆได้ การทักทายและเป็นกันเอง” ซึ่งสิ่งเหล่านี้ สามารถนำมาประยุกต์ใช้บน Website E-Commerce ได้ด้วยเช่นกัน โดยผมจะขอยกตัวอย่าง วิธีการทำให้เว็บไซต์ E-commerce เป็น Personalization มากขึ้น เพื่อเพิ่มยอดขายและทำกำไรให้ธุรกิจ

 

1.ต้อนรับลูกค้าเมื่อเข้ามาในเว็บไซต์

เว็บไซต์ก็เปรียบเสมือนกับร้านขายของ ซึ่งเมื่อมีลูกค้าเข้ามาในร้าน ก็ควรจะมีการทักทายอย่างคำสวัสดีหรือคำต้อนรับลูกค้า โดยสามารถใช้  Live chat ตั้ง auto message เพื่อ say hello กับลูกค้าไม่เกิน 10 วินาที หลังจากที่ลูกค้าเข้ามาในเว็บไซต์ โดยปกติเมื่อลูกค้าเห็นข้อความจะเข้ามาสอบถาม ข้อมูลสินค้าที่อยากได้ จากนั้น ผู้ที่ดูแลเว็บไซต์ก็เริ่มสนทนากับลูกค้าเพื่อช่วยเหลือลูกค้าและแนะนำสินค้าได้เลย ซึ่งการพูดคุยนี้ทำให้ลูกค้ามั่นใจและสร้างความรู้สึกเป็นกันเอง นำมาซึ่งโอกาสในการซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้น

Hint : live chat ในปัจจุบัน คนที่เป็น admin สามารถเห็นได้ว่าลูกค้าอยู่ location อะไร และขณะนั้นกำลังดูหน้า page ไหนอยู่ ซึ่งจะช่วยให้ admin สามารถแนะนำสินค้า upsell หรือ cross sell ให้ลูกค้าได้อย่างถูกต้อง

 

2.เสนอโปรโมชั่นในโอกาสพิเศษ

โดยทั่วไปแล้ว คนเราจะรู้สึกดีถ้ามีใครจำวันเกิดหรือวันพิเศษต่างๆ ของเราได้ ซึ่งเราสามารถนำหลักการเดียวกันนี้มาใช้กับเว็บไซต์ E-commerce ได้

เราสามารถสร้างโอกาสพิเศษได้หลายๆ อย่างบนเว็บไซต์ E-commerce ไม่ว่าจะเป็น วันเกิดของลูกค้า, วันครบรอบ 1 ปีในการเป็นลูกค้า (นับจากวันที่ลูกค้าลงทะเบียน)  , สงกรานต์ , วันขึ้นปีใหม่ , วันหยุดเทศกาลต่างๆ นานา  โอกาสพิเศษเหล่านี้ สามารถส่งข้อความอวยพร พร้อมโปรโมชั่น อย่างเช่น คูปองลดราคา หรือ แจกคะแนนสะสมพิเศษ ให้กับลูกค้า ผ่านทาง Email หรือ SMS สร้างความรู้สึกของการเป็นคนสำคัญ เป็นคนพิเศษ ตลอดจนความรู้สึกในด้านบวกอื่นๆ ทำให้มีโอกาสที่ลูกค้ารู้สึกดีแล้วจะกลับมาซื้อของบนเว็บไซต์เราอีกครั้ง และเป็นการเพิ่ม Loyalty อีกด้วย

 

3.แนะนำผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ

ถ้าลูกค้าเปิดมาหน้าแรกแล้วเห็นสินค้าที่โดนใจ หรือใกล้เคียงสินค้าที่ตั้งใจจะซื้อโดนทันที โดยไม่ต้องรอสอบถาม admin จะทำให้ลูกค้ามีโอกาสตัดสินใจซื้อสินค้าได้รวดเร็วขึ้นและรู้สึกว่าเว็บไซต์นี้โดนใจ ดังนั้น สิ่งที่เจ้าของเว็บไซต์ควรจะทำคือ วิเคราะห์สินค้าที่ลูกค้าซื้อบ่อยๆ หรือซื้อล่าสุด แล้วหา “Upsell” หรือ “Relate Product” หรือ สินค้าที่มี “Tag” เหมือนกัน มาแสดงบนหน้าแรก เพียงเท่านี้ก็เว็บไซต์ของเราก็จะดึงดูดลูกค้าให้มาสนใจซื้อสินค้าได้มากขึ้น

 

4.จัดกลุ่มลูกค้า

ลูกค้าคนไหนเป็นลูกค้าชั้นดี ซื้อสินค้าในเว็บไซต์เราเป็นประจำ นอกจากจะให้โปรโมชั่นแล้ว นอกเหนือไปจากนั้นควรจะจัดกลุ่มตาม Segment ของลูกค้าแต่ละคน โดยการทำ Segment นั้น อาจจะตั้ง กลุ่มลูกค้าเป็น Platinum, Premium, Vip , Gold , Sliver ซี่งแต่ละกลุ่ม แต่ละ Segment ลูกค้าจะเห็นราคาสินค้าพิเศษที่แตกต่างกันไป หรือ เห็นสินค้าเฉพาะกลุ่มของลูกค้า (Private Sale) เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น และจะเพิ่มโอกาสในการซื้อนั่นเอง


 

นี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนในการทำให้เว็บไซต์ E-Commerce เป็น Personalization เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสในการขาย และเพิ่มยอดขายมากยิ่งขึ้น

ติดตามบทความต่อไป

 

หากสนใจที่จะเพิ่มยอดขายให้กับ E-Commerce  สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

เขียนโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

0 1 Continue Reading →

เปลี่ยนคนเข้าเว็บขาจร ให้เป็นลูกค้าขาประจำ เพิ่ม Conversion Rate ด้วย Magento

Conversion Rate  เป็นสิ่งที่วัดประสิทธิภาพรายได้ของ Website E-commerce ที่สำคัญตัวหนึ่ง โดยคำนวนจาก จำนวนผู้ซื้อสินค้า/จำนวนผู้เข้าชม Website ยิ่งสูงมาก ยิ่งมีโอกาสที่เงินจะเข้าเยอะ

ใน Magento Version 2.1 มี Feature ที่สามารถเพิ่ม Conversion Rate ได้แก่

 

1. Elastic search (Enterprise Edition)

Admin สามารถกำหนด Priority การ Search ด้วยการ set น้ำหนักให้แก่ Attribute ต่าง เช่น  หากต้องการให้คำที่ลูกค้า Search ไป Match กับ ชื่อสินค้าก่อนสี, ขนาด, ไซส์สินค้า เราก็ใส่ น้ำหนัก “ชื่อ” มากกว่า สี ขนาด หรือ ไซส์

การใช้ Stop words โดยเพิ่ม stop word เข้าไปใน stopwords.csv เท่านี้ก็ทำให้ performance ของการ Search เพิ่มขึ้น ผลลัพธ์ออกมาได้ทันใจ ลูกค้า และ Search synonyms การค้นหาคำต่างๆ ของลูกค้า บางครั้งอาจจะไม่มีผลลัพธ์สำหรับคำนั้นเป๊ะๆ ดังนั้นการเพิ่มคำเหมือน (synonyms ) จะช่วยเพิ่มโอกาสในการค้นหาสินค้าใน Website เราให้เจอได้ง่ายขึ้น

2. PayPal in-context checkout 

ขั้นตอนการชำระเงินที่ยืดยาว อาจทำให้ลูกค้าเบื่อในการกรอกข้อมูล Magento 2 สามารถลดขั้นตอนการ Check out เพื่อให้ชำระเงินโดยต่อกับระบบ PayPal ได้ทุกหน้าที่ต้องการ และเป็นการโชว์ pop up แทนที่จะ redirect ไปที่หน้า PayPal

3. Varnish caching

เพิ่มประสิทธิภาพในการ Loading Page ให้เร็วขึ้นถึง 6-25 เท่า

 

4. Visual Merchandizer

มี Feature ที่เพิ่มขึ้นจาก Magento Enterprise 1.4  โดยสามารถแสดงสินค้าตามที่เงื่อนไขที่เรากำหนด เช่น ประเภทสินค้า (Smart Category Rules)  และการ drag and drop สินค้าที่จะแสดงในหน้า page ต่างๆ

 

5. Customer Segmentation

ลูกค้าคนไหน เป็นลูกค้าชั้นดี ที่มาซื้อกับเราเป็นประจำ นอกจากจะให้ Promotion เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเป็นคนพิเศษยิ่งขึ้นแล้ว ก็ควรจะจัด Segment ของลูกค้าแต่ละคน การทำ Segment นั้น อาจจะตั้งกลุ่มลูกค้าเป็น Platinum, Premium, VIP, Gold, Sliver ซี่งแต่ละกลุ่ม แต่ละ Segment ลูกค้าจะเห็น ราคาสินค้าพิเศษที่แตกต่างกันไป หรือเห็นสินค้าเฉพาะกลุ่มของลูกค้า (Private Sale)

 

นอกเหนือจาก Feature ของ Magento 2 ที่สามารถเพิ่ม Conversion Rate ให้กับ website ของเราแล้ว ยังมีเครื่องมือ CRO Toolbox ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการออกแบบ website ขึ้นได้อีก มาดูตัวอย่างกันครับ

 

1. Google Analytics

เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและฟรี นิยมนำมาวิเคราะห์ดูสถิติของผู้เข้าชม Website รวมถึงพฤติกรรมของผู้เข้าชม โดยแสดงจำนวน Visitor , Traffic , Content เป็นต้น

2. Inspectlet

เครื่องมือนี้สามารถเก็บวิดีโอหน้าจอที่ลูกค้าเข้ามาบน website เพื่อดูพฤติกรรมของลูกค้าอย่างละเอียด ว่าคลิกตรงไหน กรอกข้อมูลตรงไหนก่อนหลัง  แล้วนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ ดูว่าลูกค้าของเรามีปัญหาในหน้า page ไหน

3. MageMail

สามารถให้ลูกค้านำข้อมูลตระกร้าสินค้าที่ลูกค้าทิ้งไป หรือยังไม่ได้ชำระเงิน แค่ 1 คลิกผ่านอีเมลแจ้งเตือน และแนะนำสินค้าต่างๆ โดยวิเคราะห์จากสินค้าที่ลูกค้าเคยซื้อ หรือเคยเพิ่มเข้าในตระกร้าสินค้าแบบอัตโนมัติ ซึ่งลดภาระทาง Admin ลงได้ และมี Feature แจ้งเตือนอื่นๆ อีกมากมาย

4. Google PageSpeed Insights

เมื่อเราสร้าง Website เสร็จ จะรู้ได้อย่างไรว่า web ของเรานั้นมีความสามารถในการดึงข้อมูลต่างๆ มาแสดงผลลัพธ์ในหน้า page นั้นได้อย่างรวดเร็ว

Google PageSpeed Insights สามารถช่วยได้ โดยวิเคราะห์ข้อมูลการโหลด page และแนะนำการ tuning page speed อย่างละเอียด

5. AddShopper

หากต้องการรู้ว่า ช่องทางใดของ Social Media ที่สามารถเพิ่ม Conversion ให้เราได้เยอะที่สุด เครื่องมือนี้ตอบโจทย์อย่างแน่นนอน

6. Google Content Experiment

หากเราต้องการที่จะ test ว่า Design page ไหนดีกว่ากัน แบบ A หรือ แบบ B สามารถใช้เครื่องมือนี้ได้เลยแบบฟรี แต่อาจจะต้องเรียนรู้วิธีการตั้งค่านิดหน่อย

 

credit:https://magento.com/blog/best-practices/magento-conversion-rate-optimization-strategies

หากสนใจที่จะเพิ่มยอดขายให้กับ E-Commerce  สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

แปลและเรียบเรียงโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

 

0 0 Continue Reading →

มูลค่ายอดขาย E-Commerce ในประเทศไทย – ภาคธุรกิจสินค้าเฉพาะทาง(ของเล่น ของสะสมและเครื่องใช้สำหรับเด็กทารก,อุปกรณ์กีฬาและของจัดสวน,งานอดิเรก งานฝีมือและเครื่องประดับ)

ในบทความนี้เราจะเจาะมูลค่ายอดขายของภาคธุรกิจเฉพาะทางจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

1.ของเล่น ของสะสมและเครื่องใช้ อาหาร เสื้อผ้าสำหรับเด็กทารก

2.อุปกรณ์กีฬาและของจัดสวน สินค้าในประเภทนี้ได้แก่ อุปกรณ์กีฬาทุกชนิด ต้นไม้ ดอกไม้ อุปกรณ์จัดสวน และสินค้า DIY ทั้งหลาย

3.งานอดิเรก งานฝีมือและเครื่องประดับ สินค้าในประเภทนี้ได้แก่ งานศิลป์ ของสะสมต่างๆ แสตมป์ ของโบราณ ธนบัตร นาฬิกา อัญมณี แหวน สร้อย เป็นต้น

เรามาดูว่ายอดขายประมาณการณ์ของภาคธุรกิจนี้ตั้งแต่ปี 2014-2020 เป็นอย่างไร

si1

*ข้อมูลมูลค่ายอดขายนี้เป็นตัวเลขประมาณการณ์โดยสำรวจจากการซื้อขายสินค้าที่จับต้องได้(physical goods)และมีลักษณะ B2C ที่มีการซื้อขายผ่าน คอมพิวเตอร์ และ Mobile Devices

จากรูปด้านบน ภาพรวมมูลค่ายอดขายสินค้าผ่าน E-Commerce ในประเทศไทยของภาคธุรกิจนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2014 มีมูลค่าสูงถึง 276 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยถึง 9,660 ล้านบาท และในปี 2015 ที่ผ่านมา 13,370 ล้านบาท มูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 38.4%  ในปี 2016 คาดการณ์ว่าเพิ่มขึ้น 80.43% จากปี 2014 และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2020 ซึ่งคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 1,041 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยถึง 36,435 ล้านบาท ถือว่าเป็นภาคธุรกิจที่น่าลงทุนทีเดียว โดยเฉพาะสินค้าในส่วนงานอดิเรก งานฝีมือและเครื่องประดับซึ่งมียอดขายสูงสุด ถ้าเทียบกับสินค้าประเภทอื่นในภาคธุรกิจเดียวกัน

อัตราการเติบโตยอดขายภาคธุรกิจสินค้าเฉพาะทาง (คิดเป็น%)

si2

จากกราฟจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2015 – 2020 สินค้าจำพวกของเล่น ของสะสมและเครื่องใช้ อาหาร เสื้อผ้าสำหรับเด็กทารกมีอัตราการเติบโตของยอดขายมากที่สุดในภาคธุรกิจนี้เฉลี่ย 34% รองลงมาเป็นสินค้างานอดิเรก งานฝีมือและเครื่องประดับที่มีอัตราการเติบโตของยอดขายเฉลี่ย 25% ส่วนอันดับสุดท้ายเป็นของสินค้าอุปกรณ์กีฬาและของจัดสวนซึ่งมีอัตราการเติบโตของยอดขายเฉลี่ย 16%

จำนวน User ที่ซื้อสินค้าต่อปี

si3

จากกราฟจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2014 – 2020 จำนวน user ที่ซื้อสินค้าทั้ง อุปกรณ์กีฬาและของจัดสวน กับ งานอดิเรก งานฝีมือและเครื่องประดับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่น่าสนใจคือ สินค้าพวก ของเล่น ของสะสมและเครื่องใช้ อาหาร เสื้อผ้าสำหรับเด็กทารก มีจำนวน User เพิ่มขึ้น 3 เท่าจากปี 2014 ถึง 2020 เป็นไปได้ว่าลูกค้ารุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับการใช้ internet กลายมาเป็นคุณพ่อ คุณแม่ยุคใหม่ที่นิยมจะซื้อสินค้าเครื่องใช้ อาหาร เสื้อผ้าสำหรับเด็กทารก ผ่านทางออนไลน์แทนที่จะไปซื้อถึงที่ร้าน

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อ User ในการซื้อสินค้าต่อปี (Average revenue per user)

si4

กราฟก่อนหน้าแสดงให้เห็นว่ามีจำนวน User ต่อปีที่เท่าไรที่ซื้อสินค้า คราวนี้มาดูว่าแต่ละ User มีการใช้จ่ายเท่าไรบ้าง

จากกราฟด้านบนตั้งแต่ปี 2014-2020 ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อ User ที่ซื้อสินค้าของเล่น งานอดิเรก งานฝีมือและเครื่องประดับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากปี 2014 จนถึงปี 2020 เพิ่มขึ้นมา 2 เท่าตัวเท่ากับสินค้าอีก 2 ประเภท

อัตราการเติบโตของภาคสินค้าเฉพาะทาง ส่งผลให้มูลค่ายอดขายเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักๆ มาจากการเข้าถึงผู้ใช้สามารถเข้าถึง Internet ในประเทศเพิ่มมากขึ้นและอุปกรณ์ IT ต่างๆ มีราคาลดลงและคนรุ่นใหม่ยุค Gen Y,Z ที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อและมีศักยภาพในการผลักดัน E-Commerce ในอนาคต

Picture Credit: www.statista.com/

 

_______________________________________________________________________

ไปต่อกับบทความ ยอดขาย  E-Commerce ในประเทศไทยแยกตามภาคธุรกิจ

_______________________________________________________________________

จากข้อมูลทั้งหมด ทาง Stream IT Consulting มี Solution ที่ตอบโจทย์ E-Commerce ทุกภาคธุรกิจ ได้อย่างครบถ้วน อย่างแน่นอน

banner

สนใจที่จะใช้บริการ สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

เขียนและเรียบเรียงโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

0 0 Continue Reading →

มูลค่ายอดขาย E-Commerce ในประเทศไทย – ภาคธุรกิจอาหาร,เครื่องสำอาง,ยาและเวชภัณฑ์

ในบทความนี้เราจะเจาะมูลค่ายอดขายของภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม,เครื่องสำอาง ยาและเวชภัณฑ์จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

1.อาหารและเครื่องดื่ม (ไม่รวมอาหารสำหรับเด็กทารก)  ในกลุ่มนี้เราจะเห็นว่ามีการแข่งขันกันหลายเจ้าในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็น KFC, Pizza, MK, BURGER KING เป็นต้น

2.เครื่องสำอาง ยาและเวชภัณฑ์ ซึ่งในกลุ่มนี้มีผู้เล่นหลายเจ้า เช่น Watson, Boot  เป็นต้น

เรามาดูว่ายอดขายประมาณการณ์ของภาคธุรกิจนี้ตั้งแต่ปี 2014-2020 เป็นอย่างไรR1

*ข้อมูลมูลค่ายอดขายนี้เป็นตัวเลขประมาณการณ์โดยสำรวจจากการซื้อขายสินค้าที่จับต้องได้(physical goods)และมีลักษณะ B2C ที่มีการซื้อขายผ่าน คอมพิวเตอร์ และ Mobile Devices

จากรูปด้านบน ภาพรวมมูลค่ายอดขายสินค้าผ่าน E-Commerce ในประเทศไทยของภาคธุรกิจนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2014 มีมูลค่าสูงถึง 124 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยถึง 4,340 ล้านบาท และในปี 2015 ที่ผ่านมา 5,530 ล้านบาท มูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 27.4%  ในปี 2016 คาดการณ์ว่าเพิ่มขึ้น 58% จากปี 2014 และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2020 ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 395 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยถึง 13,825 ล้านบาท ถึงแม้ว่าภาคธุรกิจนี้ยอดขายจะไม่สูงเท่าธุรกิจอื่น แต่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของยอดขายเพิ่มขึ้นประมาณ 20% ทุกปี

อัตราการเติบโตยอดขายภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม,เครื่องสำอาง ยาและเวชภัณฑ์(คิดเป็น%)

R2

จากกราฟจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2015 – 2020 สินค้าจำพวกอาหารและเครื่องดื่มตกลงจากปี 2015 ประมาณ 22.1% และแผ่วลงเล็กน้อยในปีต่อๆไป และมีอัตราการโตโดยเฉลี่ย 20% ทุกปี

ส่วนสินค้าพวก เครื่องสำอาง ยาและเวชภัณฑ์จากปี 2015 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 4% และตกลงเรื่อยๆ แต่ยังคงเป็นบวก

จำนวน User ที่ซื้อสินค้าต่อปี

U1

จากกราฟจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2014 – 2020 จำนวน user ที่ซื้อสินค้าทั้ง อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ยาและเวชภัณฑ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่น่าสนใจคือ สินค้าพวก อาหารและเครื่องดื่ม มีจำนวน User เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปี 2014 ถึง 2020 เป็นไปได้ว่าลูกค้ามีความนิยมที่จะซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มผ่านทางออนไลน์แทนที่จะไปซื้อถึงที่ร้าน

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อ User ในการซื้อสินค้าต่อปี (Average revenue per user)

A1

กราฟก่อนหน้าแสดงให้เห็นว่ามีจำนวน User ต่อปีที่เท่าไรที่ซื้อสินค้า คราวนี้มาดูว่าแต่ละ User มีการใช้จ่ายเท่าไรบ้าง

จากกราฟด้านบนตั้งแต่ปี 2014-2020 ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อ User ที่ซื้อสินค้าอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากปี 2014 จนถึงปี 2020 เพิ่มขึ้นมา 2 เท่าตัว ส่วนสินค้าเครื่องสำอาง ยาและเวชภัณฑ์มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในแต่ละปี

อัตราการเติบโตของภาคสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ยาและเวชภัณฑ์ส่งผลให้มูลค่ายอดขายเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักๆ มาจากอัตราการเข้าถึงของผู้ใช้ Internet ในประเทศเพิ่มมากขึ้นและอุปกรณ์ IT ต่างๆ มีราคาลดลงและคนรุ่นใหม่ยุค Gen Y,Z ที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อและมีศักยภาพในการผลักดัน E-Commerce ในอนาคต

Picture Credit: www.statista.com/

_______________________________________________________________________

ไปต่อกับบทความ ยอดขาย  E-Commerce ในประเทศไทยแยกตามภาคธุรกิจ

_______________________________________________________________________

จากข้อมูลทั้งหมด ทาง Stream IT Consulting มี Solution ที่ตอบโจทย์ E-Commerce ทุกภาคธุรกิจ ได้อย่างครบถ้วน อย่างแน่นอน

banner

สนใจที่จะใช้บริการ สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

เขียนและเรียบเรียงโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

0 0 Continue Reading →

มูลค่ายอดขาย E-Commerce ในประเทศไทย – ภาคธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์

มูลค่ายอดขาย E-Commerce ในประเทศไทย – ภาคธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์

            ในบทความนี้เราจะเจาะมูลค่ายอดขายของภาคธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

1.Consumer electronic ที่ครอบคลุมสินค้าจำพวกอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย เช่น TV, Notebook, Laptops, Smartphone, Tablet  ในกลุ่มนี้เราจะเห็นว่ามีการแข่งขันกันหลายเจ้าที่โด่งดังในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็น J.I.B. , Advice, BaNANA IT, IT City, AIS, True, Dtac ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด

2.Physical media ที่ครอบคลุมสินค้าจำพวก หนังสือ,DVD ,CD ,Blu-ray Disc ซึ่งในกลุ่มนี้มีผู้เล่นหลายเจ้า เช่น ร้านนายอินทร์, Se-ed, B2S ,ร้านหนังสือจุฬา เป็นต้น

เรามาดูว่ายอดขายประมาณการณ์ของภาคธุรกิจนี้ตั้งแต่ปี 2014-2020 เป็นอย่างไร

R1

*ข้อมูลมูลค่ายอดขายนี้เป็นตัวเลขประมาณการณ์โดยสำรวจจากการซื้อขายสินค้าที่จับต้องได้ (physical goods) และมีลักษณะ B2C ที่มีการซื้อขายผ่าน คอมพิวเตอร์ และ Mobile Devices

จากรูปด้านบน ภาพรวมมูลค่ายอดขายสินค้าผ่าน E-Commerce ในประเทศไทยของภาคธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2014 มีมูลค่าสูงถึง 1,076 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยถึง 37,660 ล้านบาท และในปี 2015 ที่ผ่านมา 40,775 ล้านบาท มูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 8.3%  ในปี 2016 คาดการณ์ว่าเพิ่มขึ้น 26% จากปี 2014 และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2020 ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 1,909 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยถึง 66,815 ล้านบาท ในภาคธุรกิจนี้มีปริมาณยอดขายที่สูงที่สุดของ E-Commerce

 

อัตราการเติบโตยอดขายภาคธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์(คิดเป็น%)

G1

จากกราฟจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2015 – 2020 สินค้าจำพวก Consumer electronic พุ่งจากปี 2015 ถึง 21.9% แต่จะแผวลงในปีต่อๆไป แต่ยังคงเป็นบวกอยู่ ในทางกลับกัน สินค้าพวก Physical media จากปี 2015 ตกลงไปเหลือ 3.9% แต่ในปีต่อๆไปเพิ่มขึ้นแต่ไม่มากนัก

จำนวน User ที่ซื้อสินค้าต่อปี

U1

จากกราฟจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2014 – 2020 จำนวน user ที่ซื้อสินค้าทั้ง Consumer electronic และ Physical media เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่น่าสนใจคือ สินค้าพวก Physical media มีจำนวน User เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปี 2014 ถึง 2020 เป็นไปได้ว่าลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรมจากการอ่านพวก Hard Copy มาเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แทน ซึ่งในปัจจุบันจะเห็นได้จากธุรกิจนิตยสาร image ได้เปลี่ยนจากหนังสือนิตยสารมาเป็น e-magazine อย่างเต็มตัวเพื่อตอบพฤติกรรมของลูกค้า

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อ User ในการซื้อสินค้าต่อปี (Average revenue per user)

A1

กราฟก่อนหน้าแสดงให้เห็นว่ามีจำนวน User ต่อปีที่เท่าไรที่ซื้อสินค้า คราวนี้มาดูว่าแต่ละ User มีการใช้จ่ายเท่าไรบ้าง

จากกราฟด้านบนตั้งแต่ปี 2014-2020 ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อ User ที่ซื้อสินค้า Consumer electronic แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยจะอยู่ในช่วง 3,500 – 4,000 บาท ซึ่งคล้ายคลึงกับสินค้า Physical media ที่ไม่ค่อยเปลี่ยนเช่นกัน อยู่ประมาณ 1,100 บาท

อัตราการเติบโตของภาคธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้มูลค่ายอดขายเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักๆ มาจากผู้ใช้สามารถเข้าถึง Internet ในประเทศเพิ่มมากขึ้นและอุปกรณ์ IT ต่างๆ มีราคาลดลงและคนรุ่นใหม่ยุค Gen Y,Z ที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อและมีศักยภาพในการผลักดัน E-Commerce ในอนาคต

Picture Credit: www.statista.com/

_______________________________________________________________________

ไปต่อกับบทความ ยอดขาย  E-Commerce ในประเทศไทยแยกตามภาคธุรกิจ

_______________________________________________________________________

จากข้อมูลทั้งหมด ทาง Stream IT Consulting มี Solution ที่ตอบโจทย์ E-Commerce ทุกภาคธุรกิจ ได้อย่างครบถ้วน อย่างแน่นอน

banner

สนใจที่จะใช้บริการ สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

 

เขียนและเรียบเรียงโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

0 1 Continue Reading →

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายการใช้คุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save