Skip to Content

Blog Archives

เทคนิคเพิ่มยอดขายด้วย Digital Marketing

Digital Marketing คืออะไร

หลายคนอาจสงสัยว่า Digital Marketing จะช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างไร ซึ่ง Digital Marketing คือ การโปรโมทสินค้าและบริการ โดยใช้ช่องทาง Digital และ Social media เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงผ่านทาง Internet, Text Message, Banner Ads โดยผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ง่าย และตรงกลุ่มเป้าหมาย หลังจากนั้นเมื่อผู้เข้าชมสนใจในสินค้าก็จะเกิดการซื้อสินค้าและบริการ รวมถึงได้รับการกระตุ้นจากแคมเปญหรือโปรโมชั่นต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดการซื้อซ้ำ ดังรูป

ประโยชน์ของการทำ Digital Marketing

1.เพื่อเพิ่ม traffic ในการเข้าถึง website ของผู้บริโภค

2.เพื่อเพิ่มการยอมรับจากผู้บริโภค

3. เพื่อปรับปรุง ranking ของ SEO

4. เพื่อเพิ่มยอดขาย

Digital Marketing มีอะไรบ้าง ทำอย่างไร

ในส่วนนี้เราจะมาพูดถึงส่วนประกอบในการทำ Digital Marketing ซึ่งมีหลายวิธีมาก ที่ผู้อ่านสามารถเลือกเพื่อนำไปใช้ให้เหมาะสมกับการทำเว็บไซต์ของตนเอง ว่าวิธีไหนจะเหมาะสมและให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งเรามาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้าง แล้วแต่ละวิธีเป็นอย่างไร

1.Website Design

การออกแบบ UX/UI เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ง่าย สะดวกต่อการใช้งาน

2.Search Engine Optimization (SEO)

การปรับแต่ง website เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหา ให้ website ที่ต้องการติดหน้าแรกของ search engine เช่น Google, Yahoo, Bing เป็นต้น  เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา

องค์ประกอบของ SEO

Content : เนื้อหาใหม่มีความแตกต่างจากที่อื่น และมีความน่าสนใจ

Link : มีการ Link จาก website อื่นๆ อ้างอิงมายัง website ที่ทำ SEO

Design : การออกแบบ website ให้น่าสนใจ

3.Pay Per Click (PPC)

การทำโฆษณา website บน search engine โดยคิดค่าใช้จ่ายตามจำนวนครั้งที่ผู้เข้าชมคลิกผ่านโฆษณานั้นๆ

4.Social Media Marketing (SMM)

การทำโฆษณาผ่านช่องทาง Social Media เพื่อเข้าถึงผู้บริโภค และส่งผลให้การทำ SEO ประสิทธิภาพมากขึ้น โดยต้องคำนึงถึง

  • ใครคือกลุ่มเป้าหมายและเค้าสนใจอะไร
  • วัตถุประสงค์ที่จะทำแคมเปญผ่าน social media
  • กลยุทธ์ที่แตกต่าง
  • เทคโนโลยีหรือ channel ที่จะใช้

5.Email Marketing

                การทำโฆษณาผ่านทาง email โดยช่องทางนี้ จะต้องมี email ของกลุ่มเป้าหมายก่อน ซึ่งอาจจะเป็นลูกค้าที่สมัครเป็นสมาชิกแล้ว หรือเป็นผู้ชมที่ subscribe เข้ามา

6.Retargeting

การทำโฆษณาโดยการส่งย้ำโฆษณาของบริการ/สินค้า ไปให้แก่ลูกค้าที่เคยเข้ามาดูบริการ/สินค้านั้นๆ ผ่านทาง Banner Ads ของ website ต่างๆ

 


 

หากสนใจโซลูชัน สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ marketing@stream.co.th หรือโทร 02-679-2233

เขียนและเรียบเรียงโดย

กมลเนตร   วงศ์ปราโมทย์

Business Analyst

0 0 Continue Reading →

Marketplace สำหรับ Magento2

          Marketplace คือ เว็บไซต์ที่เป็นสื่อกลางการติดต่อซื้อขายสินค้าและบริการ ซึ่งเปิดเป็นช่องทางให้ผู้ซื้อและผู้ขายเข้ามาซื้อขายสินค้า โดยแต่ละเว็บไซต์จะกำหนดกฎเกณฑ์สำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการชำระเงิน จัดส่งสินค้าของ การคิดค่า commission, fee

          หลังจากที่ Magento platform สำหรับการทำ ecommerce ระดับโลก ได้เปิดตัว Magento 2 ไปเมื่อกลางปี 2015 แล้วนั้น ณ ตอนนี้ก็ได้พัฒนามาจนถึงเวอร์ชั่น 2.1.6 ซึ่งใน Magento 2 นี้ก็ได้มีการพัฒนาหลายๆ อย่างที่เปลี่ยนแปลงไปจาก Magento 1 ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ Admin Panel หรือหน้า User Interface ต่างๆ รวมถึง Extension ของ Magento 2 ก็ต้องมีการพัฒนาขึ้นมาใหม่ทั้งหมด รวมถึงการทำ marketplace ด้วยเช่นกัน เรามารู้จักกับ Extension ที่จะทำให้เว็บไซต์จาก Magento 2 ของคุณกลายเป็น marketplace กันเลย มาดูว่ามีอะไรบ้าง

 

1. Magento2 Multiple Vendor Marketplace by Vnecom

– สามารถคำนวณค่า commission ให้กับ seller ได้ โดยกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์หรือกำหนดเป็น fix cost

– สามารถสร้างฟอร์มและกำหนด attribute สมัครสมาชิกสำหรับ seller ได้

– Seller จะมีหน้าเพื่อจัดการ product ของตัวเอง รวมถึงสามารถจัดการ order ของตัวเองได้

– ในหน้าจัดการ product seller สามารถกำหนดราคาของสินค้ารวมถึง special price และ tier price ได้

– รองรับการจัดการ credit สำหรับ seller

– สามารถกำหนดกลุ่มให้กับ seller ได้ สำหรับการจัดการค่า commission หรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ

 

2. Magento2 Multi Vendor Marketplace by Webkul

– สามารถคำนวณค่า commission rate สำหรับ seller ได้

– สามารถกำหนด enable/disable ให้ seller จัดการ order ได้เอง

– มี Home Page เพื่อให้ seller สามารถแก้ไข shop URL ข้อมูลโปรไฟล์และ page review ของตนเองได้

– seller สามารถจัดการสินค้าได้เอง และสามารถกำหนดได้ว่า admin จะต้อง approve ก่อนหรือไม่ก็ได้

– Support การใช้งานหลายภาษา

– สำหรับ seller registration จะอยู่หน้าเดียวกับ customer registration โดยสามารถเลือกได้ว่าต้องการสมัครเป็น seller

 

3. Magento Multi Vendor Marketplace by Magebay

– หน้า Seller Dashboard สามารถดูภาพรวมรายละเอียดและข้อมูลการซื้อขายต่างๆ ได้ เช่น Credit, Total sales, Total Order

– Seller สามารถจัดการ order ได้เอง รวมไปถึงการเปลี่ยน order status, การ update tracking ID, รวมไปถึงการส่ง email หรือ invoice ให้กับลูกค้า

– Seller สามารถเพิ่มสินค้าได้เอง

– ระบบสามารถกำหนดค่า commission ได้โดยจะกำหนดเป็นแต่ละ seller หรือแยกตามตามรายการสินค้าหรือหมวดหมู่ของสินค้าได้

– seller แต่ละรายสามารถกำหนดวันหยุดของแต่ละร้านได้เอง แสดงข้อความเพื่อแจ้งให้ลูกค้าทราบ

– สามารถ Import/Export รายการสินค้าได้ โดยอยู่ในรูปแบบของ CSV

ในบทความนี้เรายกตัวอย่าง extension ที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถใช้งานแบบเป็นศูนย์กลางการซื้อขายระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายได้ โดย extension แต่ละแบบก็จะมีฟีเจอร์สำหรับการใช้งานที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณแตกต่างกันไป โดยหากสนใจสามารถติดต่อได้ที่ marketing@stream.co.th หรือโทร 02-679-2233


เขียนและเรียบเรียงโดย

กมลเนตร   วงศ์ปราโมทย์

Business Analyst

0 0 Continue Reading →

Ingram Training & Workshop

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน ที่ผ่านมา บริษัท สตรีม ไอ.ที. คอนซัลติ้ง จำกัด ได้ร่วมกับบริษัท อินแกรม ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด จับมือจัดการอบรม ในหัวข้อ Microsoft Office365 และ Hitachi Content & Mobility Management (CMM) ณ ร้าน Hey! 53 Coffee & Kitchen โดยมีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาเสริมสร้างทักษะความรู้ความเข้าใจให้กับบุคลากรฝ่ายขายของบริษัทสตรีม พร้อมกันนี้ยังมีกิจกรรม workshop เพื่อเสริมสร้างทักษะด้านเทคโนโลยีและการขายให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันยุคดิจิทัลนี้ รวมถึงมีของรางวัลมาแจกกันตลอดทั้งงาน เรียกว่านอกจากได้รับทักษะเพิ่มขึ้นแล้ว ยังสร้างความสุข สนุกสนาน เรียกรอยยิ้มจากทุกๆ คนด้วย

 

ภาพบรรยากาศการจัดอบรม

หากคุณสนใจโซลูชั่นในการจัดการธุรกิจเพื่อเพิ่มความขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มกำไรของบริษัท สามารถติดต่อเราได้ที่อีเมล marketing@stream.co.th หรือโทร. 0-2679-2233
รวมทั้งติดตามเรื่องราวไอทีอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่ Facebook fan page www.fb.com/streamitconsulting

0 0 Continue Reading →

เพิ่มยอดขายในเว็บไซต์ E-Commerce ด้วยการทำ Personalization (Part II)

เพิ่มยอดขายในเว็บไซต์ E-Commerce ด้วยการทำ Personalization (Part II)

 

ในบทความก่อนหน้านี้ได้พูดถึงการเพิ่มยอดขายสำหรับเว็บไซต์ E-commerce ด้วยการทำ Personalization ไปบางส่วนแล้ว ในบทความนี้ผมจะขอเพิ่มเติมกลยุทธ์อื่นๆ ที่จะทำให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จ ได้แก่

1.Wish list

Wish list คือสิ่งที่คนเข้ามาดูในเว็บไซต์ปรารถนา การมี function Wish list ทำให้เรารู้ว่า ลูกค้าต้องการสินค้าชิ้นนั้นๆ แต่ราคาอาจจะยังไม่โดนใจหรือสินค้าหมด stock แล้วของยังไม่มา เมื่อเจ้าของเว็บไซต์รู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ก็จัดโปรโมชั่นที่ตรงกับความต้องการลูกค้า เช่น ราคาโดนๆ แล้วแจ้งไปทางอีเมลเพื่อจูงใจให้ลูกค้ากลับมาซื้อ หรืออาจจะจัดกิจกรรมแจกคะแนนสะสมหรือคูปอง โดยให้ลูกค้าแชร์ wish list ผ่านหน้า Facebook, Line หรือ Social Media อื่นๆ ซึ่งจะทำให้เกิดการแชร์ ขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น

2.Subscribe Newsletters

ในเว็บไซต์ควรจะทำ Subscribe Newsletters ในหน้า Home page และควรทำเป็น pop up ขึ้นมา เพื่อให้ลูกค้าเห็นได้ชัดเจน อาจจะใส่เนื้อหาโปรโมชั่น สินค้า หรือให้ส่วนลดคูปอง หรือ ให้ point เพื่อจูงใจให้ลูกค้า subscribe ให้ลูกค้าได้ติดตามข่าวสาร และโปรโมชั่นของร้านค้าผ่านทางอีเมล

3.Email

การส่งอีเมลไปหาลูกค้า ทำยังไงให้ลูกค้าเปิดอ่าน และกลับเข้ามาซื้อสินค้ากับทางเว็บไซต์อีก หากส่งมากเกินไปอาจจะทำให้ลูกค้ารำคาญ ได้ จะเมื่อใดถึงจะได้ผลดี

Abandon cart with coupon

กว่า 60% ของลูกค้าที่เข้ามาเว็บไซต์แล้วไม่ชำระสินค้า เนื่องจากลูกค้าบางส่วน ไม่มั่นใจในความปลอดภัยในการชำระเงินของเว็บไซต์หรือตกใจกับค่าขนส่ง หรือยอดรวมเงินที่ชำระในตระกร้าสูงเกินไป เมื่อเรารู้แบบนี้ อาจจะต้องใช้วิธีการส่ง Email Marketing เพื่อส่งโปรโมชั่นคูปองลดราคาสินค้า หรืออาจจะเป็นเสนอบริการชำระเงินค่าสินค้าปลายทาง ผ่านทาง Email ให้แก่ลูกค้า เพื่อให้กลับมาชำระเงิน

New Register with coupon

การที่จะให้ลูกค้าลงทะเบียนในเว็บไซต์ของเราเป็นเรื่องที่ยาก แต่เป็นไปได้ถ้าหากเรามีสิ่งจูงใจให้ ไม่ว่าจะเป็นคูปอง หรือให้คะแนนสะสมแก่คนที่มาลงทะเบียนเว็บไซต์ของเรา

Email Marketing

การทำ Email Marketing เป็นเครื่องมือหนึ่ง ที่มีประสิทธิภาพสูง  เข้าถึงกลุ่มลูกค้าจำนวนมากได้ง่าย แต่ต้องมีเนื้อหาที่โดนใจ มีความสมดุล ระหว่างเนื้อหาและโปรโมชั่น และอย่าลืมใส่ link กลับมาในเว็บไซต์ด้วยนะครับ ส่วนเครื่องมือที่ใช้ทำ แนะนำ Mail Chimp

 

4.Location

ค่าขนส่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ในเว็บไซต์ควรจะมีการคำนวนค่าขนส่งแบบ Location Base และแสดงประเภทการจัดส่งที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น  Express , Standard, Pick up at Store  ให้ลูกค้าเลือก ซึ่งบริการขนส่งหรือศูนย์กระจายสินค้ามีมากมายให้บริการ และสามารถเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ได้อย่างสบายๆ เช่น DHL , Kerry , UPS

 

หากสนใจที่จะเพิ่มยอดขายให้กับ E-Commerce  สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

เขียนโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

0 2 Continue Reading →

เพิ่มยอดขายในเว็บไซต์ E-Commerce ด้วยการทำ Personalization

เพิ่มยอดขายในเว็บไซต์ E-Commerce ด้วยการทำ Personalization

หากทำธุรกิจเว็บไซต์ E-Commerce ในปัจจุบัน โดยที่มีแต่การแสดงสินค้า แล้วรอให้ลูกค้ามาซื้อนั้น คงไม่พออีกต่อไป

เมื่อลองมองดูธุรกิจอื่นๆ รอบตัว ยกตัวอย่างเช่น ร้านโชห่วย หลายคนอาจจะมีคำถามผุดขึ้นมาว่า ในยุคนี้ที่ modern trade ที่เรารู้จักกันดีอย่าง 7-11 หรือ Lotus Express นั้นขึ้นทั่วเมืองเป็นดอกเห็น ทำไมร้านโชห่วยบางร้าน ถึงยังสามารถยืนหยัดอยู่ในสนามแข่งขันที่ดุเดือดนี้ได้ ทั้งๆ ที่ราคาสินค้าเท่ากันหรืออาจจะแพงกว่าด้วยซ้ำ หนึ่งในเหตุผลที่สำคัญคือ ร้านเหล่านั้นเห็นลูกค้าเป็นคนสำคัญ  จดจำรายละเอียดของลูกค้าแต่ละคนได้ ไม่ว่าจะเป็น ชื่อลูกค้า สินค้าที่ลูกค้าซื้อบ่อยๆได้ การทักทายและเป็นกันเอง” ซึ่งสิ่งเหล่านี้ สามารถนำมาประยุกต์ใช้บน Website E-Commerce ได้ด้วยเช่นกัน โดยผมจะขอยกตัวอย่าง วิธีการทำให้เว็บไซต์ E-commerce เป็น Personalization มากขึ้น เพื่อเพิ่มยอดขายและทำกำไรให้ธุรกิจ

 

1.ต้อนรับลูกค้าเมื่อเข้ามาในเว็บไซต์

เว็บไซต์ก็เปรียบเสมือนกับร้านขายของ ซึ่งเมื่อมีลูกค้าเข้ามาในร้าน ก็ควรจะมีการทักทายอย่างคำสวัสดีหรือคำต้อนรับลูกค้า โดยสามารถใช้  Live chat ตั้ง auto message เพื่อ say hello กับลูกค้าไม่เกิน 10 วินาที หลังจากที่ลูกค้าเข้ามาในเว็บไซต์ โดยปกติเมื่อลูกค้าเห็นข้อความจะเข้ามาสอบถาม ข้อมูลสินค้าที่อยากได้ จากนั้น ผู้ที่ดูแลเว็บไซต์ก็เริ่มสนทนากับลูกค้าเพื่อช่วยเหลือลูกค้าและแนะนำสินค้าได้เลย ซึ่งการพูดคุยนี้ทำให้ลูกค้ามั่นใจและสร้างความรู้สึกเป็นกันเอง นำมาซึ่งโอกาสในการซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้น

Hint : live chat ในปัจจุบัน คนที่เป็น admin สามารถเห็นได้ว่าลูกค้าอยู่ location อะไร และขณะนั้นกำลังดูหน้า page ไหนอยู่ ซึ่งจะช่วยให้ admin สามารถแนะนำสินค้า upsell หรือ cross sell ให้ลูกค้าได้อย่างถูกต้อง

 

2.เสนอโปรโมชั่นในโอกาสพิเศษ

โดยทั่วไปแล้ว คนเราจะรู้สึกดีถ้ามีใครจำวันเกิดหรือวันพิเศษต่างๆ ของเราได้ ซึ่งเราสามารถนำหลักการเดียวกันนี้มาใช้กับเว็บไซต์ E-commerce ได้

เราสามารถสร้างโอกาสพิเศษได้หลายๆ อย่างบนเว็บไซต์ E-commerce ไม่ว่าจะเป็น วันเกิดของลูกค้า, วันครบรอบ 1 ปีในการเป็นลูกค้า (นับจากวันที่ลูกค้าลงทะเบียน)  , สงกรานต์ , วันขึ้นปีใหม่ , วันหยุดเทศกาลต่างๆ นานา  โอกาสพิเศษเหล่านี้ สามารถส่งข้อความอวยพร พร้อมโปรโมชั่น อย่างเช่น คูปองลดราคา หรือ แจกคะแนนสะสมพิเศษ ให้กับลูกค้า ผ่านทาง Email หรือ SMS สร้างความรู้สึกของการเป็นคนสำคัญ เป็นคนพิเศษ ตลอดจนความรู้สึกในด้านบวกอื่นๆ ทำให้มีโอกาสที่ลูกค้ารู้สึกดีแล้วจะกลับมาซื้อของบนเว็บไซต์เราอีกครั้ง และเป็นการเพิ่ม Loyalty อีกด้วย

 

3.แนะนำผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ

ถ้าลูกค้าเปิดมาหน้าแรกแล้วเห็นสินค้าที่โดนใจ หรือใกล้เคียงสินค้าที่ตั้งใจจะซื้อโดนทันที โดยไม่ต้องรอสอบถาม admin จะทำให้ลูกค้ามีโอกาสตัดสินใจซื้อสินค้าได้รวดเร็วขึ้นและรู้สึกว่าเว็บไซต์นี้โดนใจ ดังนั้น สิ่งที่เจ้าของเว็บไซต์ควรจะทำคือ วิเคราะห์สินค้าที่ลูกค้าซื้อบ่อยๆ หรือซื้อล่าสุด แล้วหา “Upsell” หรือ “Relate Product” หรือ สินค้าที่มี “Tag” เหมือนกัน มาแสดงบนหน้าแรก เพียงเท่านี้ก็เว็บไซต์ของเราก็จะดึงดูดลูกค้าให้มาสนใจซื้อสินค้าได้มากขึ้น

 

4.จัดกลุ่มลูกค้า

ลูกค้าคนไหนเป็นลูกค้าชั้นดี ซื้อสินค้าในเว็บไซต์เราเป็นประจำ นอกจากจะให้โปรโมชั่นแล้ว นอกเหนือไปจากนั้นควรจะจัดกลุ่มตาม Segment ของลูกค้าแต่ละคน โดยการทำ Segment นั้น อาจจะตั้ง กลุ่มลูกค้าเป็น Platinum, Premium, Vip , Gold , Sliver ซี่งแต่ละกลุ่ม แต่ละ Segment ลูกค้าจะเห็นราคาสินค้าพิเศษที่แตกต่างกันไป หรือ เห็นสินค้าเฉพาะกลุ่มของลูกค้า (Private Sale) เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น และจะเพิ่มโอกาสในการซื้อนั่นเอง


 

นี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนในการทำให้เว็บไซต์ E-Commerce เป็น Personalization เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสในการขาย และเพิ่มยอดขายมากยิ่งขึ้น

ติดตามบทความต่อไป

 

หากสนใจที่จะเพิ่มยอดขายให้กับ E-Commerce  สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

เขียนโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

0 1 Continue Reading →

เปลี่ยนคนเข้าเว็บขาจร ให้เป็นลูกค้าขาประจำ เพิ่ม Conversion Rate ด้วย Magento

Conversion Rate  เป็นสิ่งที่วัดประสิทธิภาพรายได้ของ Website E-commerce ที่สำคัญตัวหนึ่ง โดยคำนวนจาก จำนวนผู้ซื้อสินค้า/จำนวนผู้เข้าชม Website ยิ่งสูงมาก ยิ่งมีโอกาสที่เงินจะเข้าเยอะ

ใน Magento Version 2.1 มี Feature ที่สามารถเพิ่ม Conversion Rate ได้แก่

 

1. Elastic search (Enterprise Edition)

Admin สามารถกำหนด Priority การ Search ด้วยการ set น้ำหนักให้แก่ Attribute ต่าง เช่น  หากต้องการให้คำที่ลูกค้า Search ไป Match กับ ชื่อสินค้าก่อนสี, ขนาด, ไซส์สินค้า เราก็ใส่ น้ำหนัก “ชื่อ” มากกว่า สี ขนาด หรือ ไซส์

การใช้ Stop words โดยเพิ่ม stop word เข้าไปใน stopwords.csv เท่านี้ก็ทำให้ performance ของการ Search เพิ่มขึ้น ผลลัพธ์ออกมาได้ทันใจ ลูกค้า และ Search synonyms การค้นหาคำต่างๆ ของลูกค้า บางครั้งอาจจะไม่มีผลลัพธ์สำหรับคำนั้นเป๊ะๆ ดังนั้นการเพิ่มคำเหมือน (synonyms ) จะช่วยเพิ่มโอกาสในการค้นหาสินค้าใน Website เราให้เจอได้ง่ายขึ้น

2. PayPal in-context checkout 

ขั้นตอนการชำระเงินที่ยืดยาว อาจทำให้ลูกค้าเบื่อในการกรอกข้อมูล Magento 2 สามารถลดขั้นตอนการ Check out เพื่อให้ชำระเงินโดยต่อกับระบบ PayPal ได้ทุกหน้าที่ต้องการ และเป็นการโชว์ pop up แทนที่จะ redirect ไปที่หน้า PayPal

3. Varnish caching

เพิ่มประสิทธิภาพในการ Loading Page ให้เร็วขึ้นถึง 6-25 เท่า

 

4. Visual Merchandizer

มี Feature ที่เพิ่มขึ้นจาก Magento Enterprise 1.4  โดยสามารถแสดงสินค้าตามที่เงื่อนไขที่เรากำหนด เช่น ประเภทสินค้า (Smart Category Rules)  และการ drag and drop สินค้าที่จะแสดงในหน้า page ต่างๆ

 

5. Customer Segmentation

ลูกค้าคนไหน เป็นลูกค้าชั้นดี ที่มาซื้อกับเราเป็นประจำ นอกจากจะให้ Promotion เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเป็นคนพิเศษยิ่งขึ้นแล้ว ก็ควรจะจัด Segment ของลูกค้าแต่ละคน การทำ Segment นั้น อาจจะตั้งกลุ่มลูกค้าเป็น Platinum, Premium, VIP, Gold, Sliver ซี่งแต่ละกลุ่ม แต่ละ Segment ลูกค้าจะเห็น ราคาสินค้าพิเศษที่แตกต่างกันไป หรือเห็นสินค้าเฉพาะกลุ่มของลูกค้า (Private Sale)

 

นอกเหนือจาก Feature ของ Magento 2 ที่สามารถเพิ่ม Conversion Rate ให้กับ website ของเราแล้ว ยังมีเครื่องมือ CRO Toolbox ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการออกแบบ website ขึ้นได้อีก มาดูตัวอย่างกันครับ

 

1. Google Analytics

เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและฟรี นิยมนำมาวิเคราะห์ดูสถิติของผู้เข้าชม Website รวมถึงพฤติกรรมของผู้เข้าชม โดยแสดงจำนวน Visitor , Traffic , Content เป็นต้น

2. Inspectlet

เครื่องมือนี้สามารถเก็บวิดีโอหน้าจอที่ลูกค้าเข้ามาบน website เพื่อดูพฤติกรรมของลูกค้าอย่างละเอียด ว่าคลิกตรงไหน กรอกข้อมูลตรงไหนก่อนหลัง  แล้วนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ ดูว่าลูกค้าของเรามีปัญหาในหน้า page ไหน

3. MageMail

สามารถให้ลูกค้านำข้อมูลตระกร้าสินค้าที่ลูกค้าทิ้งไป หรือยังไม่ได้ชำระเงิน แค่ 1 คลิกผ่านอีเมลแจ้งเตือน และแนะนำสินค้าต่างๆ โดยวิเคราะห์จากสินค้าที่ลูกค้าเคยซื้อ หรือเคยเพิ่มเข้าในตระกร้าสินค้าแบบอัตโนมัติ ซึ่งลดภาระทาง Admin ลงได้ และมี Feature แจ้งเตือนอื่นๆ อีกมากมาย

4. Google PageSpeed Insights

เมื่อเราสร้าง Website เสร็จ จะรู้ได้อย่างไรว่า web ของเรานั้นมีความสามารถในการดึงข้อมูลต่างๆ มาแสดงผลลัพธ์ในหน้า page นั้นได้อย่างรวดเร็ว

Google PageSpeed Insights สามารถช่วยได้ โดยวิเคราะห์ข้อมูลการโหลด page และแนะนำการ tuning page speed อย่างละเอียด

5. AddShopper

หากต้องการรู้ว่า ช่องทางใดของ Social Media ที่สามารถเพิ่ม Conversion ให้เราได้เยอะที่สุด เครื่องมือนี้ตอบโจทย์อย่างแน่นนอน

6. Google Content Experiment

หากเราต้องการที่จะ test ว่า Design page ไหนดีกว่ากัน แบบ A หรือ แบบ B สามารถใช้เครื่องมือนี้ได้เลยแบบฟรี แต่อาจจะต้องเรียนรู้วิธีการตั้งค่านิดหน่อย

 

credit:https://magento.com/blog/best-practices/magento-conversion-rate-optimization-strategies

หากสนใจที่จะเพิ่มยอดขายให้กับ E-Commerce  สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

แปลและเรียบเรียงโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

 

0 0 Continue Reading →

ทำ A/B Testing ด้วย Google Content Experiments

เวลาเราสร้าง page ของ website ขึ้นมา มีหลากหลาย design หรือ หลากหลาย content เราจะวัดผลได้ยังไงว่าแบบ ไหนดีกว่ากัน จะใช้ตัววัดอะไรดี Pageviews ?  Bounces Rate ? Session Duration ? ในบทความนี้เราจะลองลงมือทำ A/B Testing  แบบง่ายๆ ด้วย

Google Content Experiments ซึ่ง ฟรี  ไม่เสียเงิน มาเริ่มกันเลยครับ

ก่อนที่จะทำ A/B Testing นั้น ต้องทำสิ่งเหล่านี้ก่อน

1.สมัคร Google Analytics  ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย

2.นำ code Google Analytics ไปวางบน page website

มาเริ่มกันเลย

  1. Sing in เข้าไปที่ Google Analytics > https://analytics.google.com/analytics/web/
  2. จากนั้นไป search คำว่า “Experiments” ทางด้านบนซ้าย

3.กดปุ่ม Create Experiment เพื่อเริ่มทำ A/B Testing กัน

4.ในตัวอย่างนี้ผมจะ Test จำนวนผู้เข้าชมระหว่าง blog A กับ blog B ซึ่งมี Design ต่างกันและเนื้อหาต่างกัน

ใน step 1 ให้ใส่เรียงตามนี้

  • ชื่อของวัตถุประสงค์ที่เราจะ test
  • วัตถุประสงค์ของการเทส ครั้งนี้ ซึ่งจะมีค่าเริ่มต้นให้ 3 ค่า
    • Pageviews – จำนวนผู้ที่เยี่ยมชม
    • Bounces เป็นอัตราของผู้เยี่ยมชมที่เข้ามายังหน้าเว็บของเราโดยที่ไม่ได้คลิ๊กต่อไปที่ไหนเลย
    • Session Duration – เวลาที่ผู้เยี่ยมชม อยู่ในหน้า page นั้นๆ
  • กำหนดค่า traffic ไปที่ 100%

จากนั้นกดปุ่ม save

Step 2

ให้ใส่ URL หน้า page ที่เราต้องการเทส โดยที่หน้าหลัก จะเป็น Original Page ส่วนหน้าที่เป็นตัวแปร ให้ใส่ที่ Variant1 และหากต้องการเปรียบเทียบหน้าอื่นๆ กับ Original Page ก็สามารถเพิ่มได้

Step 3

กดปุ่ม Manually insert the code และนำ copy code ไปวางไว้ที่ข้างล่าง tag header บน html page ที่เป็น original page

เอาไปวางไว้ตรงข้างล่าง html

Step 4

ถ้านำ code ไปติดเรียบร้อยแล้ว จะผ่านดังรูป แต่หากยังมี error แสดงว่า ติด code ผิด หรือยังไม่มี code Google Analytics ติดไว้

กดปุ่ม Save เป็นอันจบพิธีการ set A/B test  แบบง่ายๆ

 

อันนี้เป็นตัวอย่างผลการ test ที่ run มาได้ประมาณ เกือบ 2 เดือนครับ


A/B Testing คืออะไร ดูได้จากบทความนี้เลยครับ

 

ยังไงก็ลองดูกันนะครับ  สุดท้าย Google Experiment สามารถทำท่ายากได้อีกหลายท่า แต่อาจจะต้องมีความรู้ทางด้าน coding เพื่อเพิ่มความซับซ้อนของการเทส

เขียนโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

 

 

0 0 Continue Reading →

ทำความรู้จัก A/B Testing

A/B Testing คืออะไร

A/B Testing เป็นวิธีการเปรียบเทียบการออกแบบของ Web page ที่ออกแบบมาแตกต่างกัน เพื่อดูว่าแบบไหนมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน โดยที่พิจารณาจาก conversion rate ซึ่งเว็บไซต์แต่ละประเภทจะมี conversion rate ที่แตกต่างกัน เช่น

1.E-Commerce Website อาจจะวัดจาก ผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่ซื้อสินค้ากับผู้เข้าชมเว็บไซต์เฉยๆ

2.Saas web app อาจจะวัดจากผู้เข้าใช้ application ที่ลงทะเบียนใช้ trail version และเปลี่ยนมาเป็นจ่ายเงิน (paid version)

3.ข่าวหรือ media เว็บไซต์ อาจจะวัดจากผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่คลิกโฆษณหรือกด subscriptions  กับผู้เข้าชมเว็บไซต์เฉยๆ

 

ทุกธุรกิจบนเว็บไซต์ต้องการที่จะเปลี่ยนจาก ผู้เข้าชมเว็บไซต์มาเป็นผู้ซื้อสินค้าหรือการกระทำแบบอื่นๆ ที่เจ้าของเว็บไซต์ต้องการ เรียกว่า Conversion rate ซึ่งสิ่งนี้เป็นตัววัดประสิทธิภาพของตัวแปร A, B ว่าแบบไหนที่เราออกแบบแล้วมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน

แล้วเราจะ test ส่วนไหนของ website ได้บ้าง

ทุกองค์ประกอบของเว็บไซต์สามารถทำ A/B Test ได้ ได้แก่
1.Headlines
2.Sub headlines
3.Paragraph
4.Testimonials
5.Text Link
6.Action Button
7.Links
8.Images
9.Content
10.Social proof
11.Media mentions
12.Awards และ badges

ขั้นตอนการทำ A/B Testing
1.ศึกษาข้อมูลเว็บไซต์ โดยใช้ Google Analytics เพื่อหาปัญหา เช่น หน้า page ที่มี bounce rate สูงๆ คนที่เข้ามาเว็บไซต์หน้าไหนแล้ว ออกจากเว็บไปโดยไม่ดูหน้าอื่นต่อ เช่น ถ้าคนเข้ามาดูหน้า home page แล้ว ไม่มีคลิกไปที่อื่นต่อ หรือไม่คลิกที่รูปภาพไหนเลย แสดงว่า ควรจะทำ A/B test ที่หน้า home page ก่อน เพราะ bounce rate สูง

2.ตั้งสมมติฐาน ควรจะตั้งสมมติฐานที่ทำให้เพื่ม conversion rate เช่น รูปโปรโมชั่น ควรทำให้มีเนื้อหาดึงดูใจผู้ที่เข้ามาชม หรือ ปุ่มซื้อสินค้าเล็กเกินไป ไม่เด่นทำให้ผู้เข้าชมเว็บไม่เป็นที่สังเกตุ

3.ทดสอบสมมติฐาน โดยการสร้างตัวแปรที่สอดคล้องกับสมมติฐานจากข้อ 2 โดยเทียบกับ web page ปัจจุบัน เช่น ตัวแปร A เป็น web page ปัจจุบันที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และตัวแปร B เป็น web page ที่มีรูปโปรโมชั่นที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีเนื้อหาดึงดูดให้เข้ามาคลิก

4.ดูผลลัพธ์จากการสร้างตัวแปร AB test วิเคราะห์ผลลัพธ์จากข้อ 3 ว่าตัวแปร B ที่เราสร้างรูปโปรโมชั่นใหม่ มีผู้เข้าชมเข้ามากดคลิก เพิ่มขึ้นขนาดไหน ถ้ามีคนคลิกเยอะแสดงว่า ควรที่จะปรับปรุงรูปโปรโมชั่นบนหน้า homepage เพื่อลด bounce rate และ เพิ่ม conversion rate ให้มากกขึ้น แต่ถ้า ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แสดงว่ารูปโปรโมชั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรปรับปรุง ควรจะกลับไปข้อ 2 เพื่อตั้งสมมติฐานใหม่และลองใหม่เพื่อหาสาเหตุปัญหาบน web page


 

บทความต่อไป เป็นการใช้ Google Experiment ทำ A/B Testing แบบ ฟรีๆ ไม่เสียค่าใช้จ่าย

 

หากสนใจที่จะเพิ่มยอดขายให้กับ E-Commerce  สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

เขียนโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

 

0 0 Continue Reading →

Automic Live Bangkok งานสัมมนาองค์ความรู้เทคโนโลยีการทำ Automation สุด Exclusive

Stream I.T. Consulting มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เราได้สนับสนุนและร่วมมือกับ Automic Software Pte. ซึ่งเป็นคู่ค้ากันมายาวนาน รังสรรค์จัดกิจกรรมดีๆ อย่างงาน Automic Live Bangkok ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560 ณ โรงแรม The St. Regis Bangkok ให้กับลูกค้าผู้มีอุปการคุณ ได้มีทางเลือกในการส่งเสริมธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วย Solution จาก Automic Software ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้กระบวนการทำงานทางด้าน IT Operation สามารถดำเนินไปได้อย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอน และอัตโนมัติ

โดย Solution ของ Automic Software สามารถช่วยให้งาน IT Operation ต่างๆ เป็น IT Automation ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการประมวลผลแบบ Batch Processing กระบวนการ Application Deployment  หรือกระบวนการบริหารจัดการระบบงานต่างๆ ใน Data Center ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง รวดเร็ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดเวลาในการทำงานทางด้าน IT Operation ได้อย่างมาก สามารถตอบสนองความต้องการทางด้านธุรกิจขององค์กรได้สูงสุด

ภายในงานได้มีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ มาบรรยายเกี่ยวกับระบบ พร้อมสาธิตการทำงานจริงและตัวอย่างจากการใช้งานจริงของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้ได้เห็นภาพที่ชัดเจนและได้แนวทางในการนำไปประยุกต์ใช้กับองค์กรของตนเอง

เราได้รวบรวมภาพบรรยากาศในงานมาให้ชมกันค่ะ

ติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Stream I.T. Consulting ได้ที่เว็บไซต์ www.stream.co.th และ FB Fan Page www.fb.com/streamitconsulting

สนใจสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับโซลูชั่นต่างๆ ได้ที่ marketing@stream.co.th หรือโทร 02-679-2233

0 0 Continue Reading →

Stream Innovation Day งานรวมนวัตกรรมดิจิทัลที่น่าสนใจมาอย่างครบครัน

ผ่านไปแล้วสำหรับงาน Stream Innovation Day จาก Stream I.T. Consulting ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา ณ โรงแรม Sofitel Bangkok Sukhumvit ไฮไลท์ของงานบนเวทีก็คือซอฟต์แวร์ Digital Report Center (DRC) พร้อมการสาธิตวิธีการใช้งาน โดยซอฟต์แวร์นี้เหมาะสำหรับจัดเก็บรายงานในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ไม่ว่าจะเป็นรายงานงบดุล ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ รายงานสินค้าคงคลังของโรงงาน ฯลฯ เพราะเป็นเอกสารที่จะต้องมีการเรียกตรวจสอบจากกรมสรรพากร ซึ่งปกติแล้วทุกบริษัทจะต้องปริ้นท์เอกสารเหล่านี้ออกมาเก็บไว้ อันเป็นเหตุให้ต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายไปกับการจัดเก็บ พื้นที่ ตู้เก็บเอกสาร กระดาษ หมึกพิมพ์ เป็นต้น

แต่ด้วยซอฟแวร์นี้ องค์กรต่างๆ สามารถเก็บข้อมูลจากระบบ แล้วนำมา generate report ในรูปแบบดิจิทัล และจัดเก็บบน cloud  ทำให้ประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายดังกล่าวไปได้มาก นอกจากนี้ยังสะดวกในการเรียกค้นข้อมูล โดยสามารถให้สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลกับผู้ที่จำเป็นต้องเรียกใช้งาน และช่วยให้กรมสรรพากรสามารถค้นข้อมูลจากระบบได้โดยตรง จึงไม่จำเป็นต้องเข้าไปค้นหาข้อมูลที่บริษัทนั้นๆ อีกต่อไป เป็นการประหยัดเวลาและให้ความสะดวกสบายกับทุกฝ่าย

ซอฟต์แวร์ Digital Report Center (DRC) นี้ ได้รับการรับรองจากกรมสรรพากรแล้วว่าสามารถใช้ในการจัดเก็บภาษีอย่างถูกต้อง ตามคำสั่งสรรพากรที่ ป.121/2545 และหากบริษัทใดใช้ซอฟต์แวร์นี้ กรมสรรพากรก็จะยกเลิกภาษีย้อนหลังให้อีกด้วย

นอกจากนี้ ภายในงานยังได้นำเทคโนโลยีหลากหลายมาออกบูธด้วย อาทิ อาทิ Intelligent Video Analytics (IVA) ฟังก์ชันวิดีโอในกล้องวงจรปิดที่มากกว่าแค่การเก็บภาพ แต่ยังช่วยวิเคราะห์สถานการณ์เสี่ยงและแจ้งเตือนได้, Bluemix ช่วยในการเขียนแอปพลิเคชั่น และทำให้การทำงานของแอปพลิเคชั่นทั้งในมือถือและเว็บไซต์ทำงานได้รวดเร็ว, Business Process Management (BPM) ระบบการจัดการกระบวนการทางธุรกิจ ที่ช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนากระบวนการทำงานอย่างอัตโนมัติ รวมถึงช่วยให้ผู้บริหารสามารถกำหนด คาดการณ์และประเมินสภาวะในองค์กรได้ก่อนเกิดปัญหา, IFS Enterprise Resource Planning (ERP) การวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กรโดยรวม ทั้งการจัดซื้อ จัดจ้าง การผลิต การซ่อมบำรุงเครื่องจักร การขาย บัญชีการเงิน ฯลฯ

นอกจากนั้นยังมีโซลูชั่นอีกมากมาย ได้แก่ Enterprise solution เพิ่มขีดความสามารถให้ data center ของคุณ, Connectivity solution การป้องกันความปลอดภัยของเครือข่ายและการส่งผ่านข้อมูล, Endpoint solution ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าใช้งานผ่านเดสก์ท็อปหรือแอพพลิเคชั่นอย่างง่ายดายและปลอดภัย, Hybrid Cloud เป็นการผสมผสานระหว่าง Private Cloud และ Public Cloud เพื่อเก็บรักษาข้อมูลของลูกค้าให้เป็นส่วนตัวและมีความปลอดภัยสูงสุด เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา และสามารถปรับขยายได้ตามที่ต้องการ  มีการจัดแสดงหุ่นยนต์ (Robotics) ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้คุณได้มากกว่าที่คุณคิดฝัน รวมถึงมีเกมสนุกๆ ให้ได้ร่วมเล่นกันด้วย

 

ภาพบรรยากาศภายในห้องสัมมนา

 

ภาพบรรยากาศโดยรวม นอกจากซอฟต์แวร์ Digital Report Center (DRC) ที่กล่าวถึงบนเวทีแล้ว ยังมีโซลูชั่นน่าสนใจอื่นๆ อีกมากมายมาให้เลือกสรร

 

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทุกท่าน ที่มาร่วมงาน Stream Innovation Day ทางสตรีมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนจากทุกท่านอีก ในโอกาสต่อๆ ไปค่ะ

ติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Stream I.T. Consulting ได้ที่เว็บไซต์ www.stream.co.th และ FB Fan Page www.fb.com/streamitconsulting

สนใจสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับโซลูชั่นต่างๆ ได้ที่ marketing@stream.co.th หรือโทร 02-679-2233

0 2 Continue Reading →

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายการใช้คุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save