Skip to Content

Blog Archives

Facebook Shop ฟีเจอร์ใหม่ที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ควรทราบ

Facebook - Shop

สวัสดีครับ หลังจากที่เราได้มีโอกาสไปร่วมงาน  TeCS: Thailand eCommerce Summit 2016  ที่จัดขึ้นเมื่อวัน พุธ ที่ 22 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2556  ที่ Grand Hyatt Erawan Hotel, กทม.  ภายในงานก็จะมีการเชิญเหล่าเจ้าพ่อ eCommerce ของเมืองไทยมาพูดคุยแลกเปลี่ยนแชร์ประสบการณ์ที่ทำให้เกิดผลสำเร็จ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ  ได้แก่ Conference Room, Workshop Room  หากใครที่ยังไม่เข้าไปในห้องก็สามารถเดินดูบูธของบริษัทต่างๆ ที่นำสินค้าของตัวเองมาจัดแสดง และสามารถถามข้อสงสัยกับเจ้าหน้าที่ประจำบูทได้  แต่ในบทความนี้เราจะขอพูดถึง  Workshop Room

Workshop Room จะเป็นห้องเหล่าเจ้าพ่อ eCommerce มาแนะนำและแชร์ประสบการณ์ของตัวเองที่ได้ปฏิบัติมาจนทำให้เกิดความสำเร็จกับธุริจในปัจจุบัน ซึ่งจะมี Workshop  อยู่มากมาย แต่เราจะขอพูดถึง Workshop  ที่เป็น Session  ของ Facebook ครับ ซึ่งเขาจะพูดเกี่ยวกับเนื้อหาของ Social Commerce (S-Commerce) และ Elevate your sales with the new facebook page shop ซึ่งเป็นเนื้อหาที่น่าสนใจเลยทีเดียวครับ  สำหรับ Social Commerce  เราจะไม่ขอยกมาพูดในบทนี้ ซึ่งผู้อ่านสามารถเข้าไปอ่านได้จาก [ Blog ของคุณ Thanakrit Promsiri คลิกเพื่ออ่าน ]


Facebook Shop ?

 

shop

ตอนนี้เทรนตลาด eCommerce กำลังมาแรงครับ  Facebook ได้พัฒนา New Feature สำคัญที่ช่วยให้พ่อค้าแม่ค้า ขายของบน Facebook ได้ดียิ่งขึ้นซึ่งเดิมที่จะสามารถเปิด  Fan page, Group  เพื่อขายสินค้าออนไลน์  เมื่อได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานทั่วโลก  Facebook จึงได้ขยับมาเล่นในตลาดแพลตฟอร์มสำหรับธุรกิจออนไลน์อย่างเต็มตัว  จึงพัฒนาระบบดูแล page,group ที่มีประสิทธิภาพคือ  Facebook Shop  จัดเป็นกลุ่ม  Facebook for Business  ซึ่งเสริมฟังก์ชั่นให้ Facebook group, Fanpage ให้สามารถประกาศขายของภายในกลุ่มได้ และสามารถเลือกสั่งซื้อสินค้าและส่ง message ถึงเจ้าของร้านค้าได้อย่างง่ายดายครับ  จะมีเมนู  Shop  แสดงขึ้นมาที่  facebook fan page ครับ

 

Facebook Shop มีจุดเด่นอย่างไร ?

faceboo-shop
1. หมดปัญหาโพสต์ใหม่ดันโพสต์เก่าลงไปข้างล่าง การโพสต์ผ่าน “เมนู Shop” จะทำใช้ลูกค้าเห็นสินค้าในลักษณะแคทตาล็อกอยู่บนสุดของเพจอยู่เสมอ แล้วใช้วิธีสไลด์ภาพสินค้าจากซ้ายไปขวา ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมในการสไลด์ดูรูปบน Facebook อยู่แล้ว

2. ในแคตาล็อกสินค้า มีปุ่มให้ Message หาผู้ขายได้โดยตรง ทำให้เพิ่มโอกาสลูกค้าติดต่อเข้ามาที่ร้านโดยตรงมากขึ้น โอกาสขายสินค้าเพิ่มก็มีมากขึ้น

3. โฆษณาสินค้าได้น่าสนใจและคุ้มค่ามากขึ้น ไม่เหมือนแต่ก่อนจะต้องลงแรงทำ Boost Post กันหน่อย

4. วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าง่ายขึ้น – การลงโฆษณาด้วยโพสต์แบบ “เมนู Shop” จะทำให้เจ้าของร้านเห็น Insight หรือข้อมูลสติถิทางพฤติกรรมได้ชัดเจนขึ้น รู้ว่าสินค้าตัวไหนในแคทตาล็อกได้รับความสนใจมากที่สุด ตัวไหนทำให้คนตัดสินใจทักข้อความมาหาเจ้าของร้านมากที่สุด เป็นต้น

 

Add Shop menu  ให้กับ  Facebook  กันดีกว่า

 add-shop-facebook

  1. ในเพจจะมีปุ่มคำว่า “+ Add Shop Section”  ที่มุมขวาบนของเพจ หากต้องการเพิ่ม Shop ก็สามารถคลิกเข้าไปได้เลยเลยครับ จากนั้นจะมี Pop up  แสดงขึ้นมา จากนั้นคลิกที่ปุ่ม  Add Shop Section
  2. จากนั้นเพิ่มสินค้าให้กับ Shop ครับ
    add product to shop
  3. ภายใน Shop ของเราก็สามารถสั่งซื้อสินค้าได้อย่างง่ายดายแล้วครับ
    macbook proเขียนและเรียบเรียงโดย
    Prawit Saraphan
0 0 Continue Reading →

ถอด Test Script ให้เป็น Robot Script (Robot Framework)

หลังจากที่ทำความเข้าใจกับ Requirement ของระบบงานแล้ว ต่อมา ก็คือการเขียน Test script พอเขียนเสร็จ ก็จะเป็นขั้นตอนของการลงมือ Test ระบบตาม Step ที่เขียนใน Test script ซีงในส่วนของวิธีการที่ทำจะ Test ก็แล้วแต่ว่า Case ไหนเราสามารถทำ Automate test ได้ หรือ Case ไหนที่เราควร Manual Test

โดยในบทความนี้เราจะกล่าวถึงการทำ Automate Test โดยใช้ Robot framework ค่ะ

          “ Robot Framework คือซอฟต์แวร์ Open Source ที่ใช้สำหรับการทำ Acceptance Testing และ ATDD (Acceptance Test-Driven Development) โดยมีรูปแบบ Syntax ที่เป็นภาษาเขียนธรรมดาทำให้การ Test ระบบไม่น่าเบื่ออีกต่อไป ”

 

ตัวอย่างประโยคในการเขียน Test Script

Case 1 : ลงชื่อเข้าสู่ระบบ Facebook  กรณีระบุ Username  และ Password ถูกต้อง ระบบจะแสดงหน้าหลักของเว็บไซต์ Facebook

11

 

จากตัวอย่าง case ข้างต้นเราก็จะเห็น Process การทำงานที่เรียงเป็นลำดับได้ดังนี้

12

 

จาก Process ดังกล่าว เราสามารถนำมาเขียนเป็น Script ใน Robot framework ได้ดังนี้

  1. เริ่มที่การวางโครงสร้างโดยใน sublime สามารถเรียกโครงสร้างของ Robot ได้โดยคลิกขวา > Robot Framework > Snippets

ก็จะปรากฎโครงสร้างส่วนต่าง ๆ ของ Robot ให้เลือกโดยที่เราไม่ต้องพิมพ์เองเลย

13

          บันทึกไฟล์ชื่อ case-1-facebook-login.txt ไว้ในโฟล์เดอร์ที่ต้องการ

14

  1. เมื่อสร้างโครงสร้างเรียบร้อยแล้วก็เริ่มเขียน Test case ได้เลย ในกรอบสี่เหลี่ยมสีชมพูคือคีย์เวิร์ด ที่สั่งให้สคริปทำงานนั่นเองค่ะ สามารถเข้าไปดู Keyword ใน Selenium2Library ได้ที่นี่

15

คำอธิบาย :

Note : ช่องว่างระหว่าง Keyword กับ Argument ต้องห่างกัน 2 วรรคขึ้นไป ไม่เช่นนั้น Robot จะถือว่าเป็น Keyword เดียวกัน

 

  • Open Browser https://www.facebook.com/    gc

คำสั่งเปิดเว็บไซต์ facebook  จากตัวอย่างจะเขียนตามด้วย  gc  คือจะเป็นการกำหนดเว็บบราวเซอร์เปิดโดยเว็บบราวเซอร์ Google Chrome แต่ถ้าไม่มีการกำหนด ก็จะเปิดเว็บไซต์ด้วย Default web browser นั่นคือ Firefox

  • Wait Until Page Contains โลโก้ Facebook

Wait Until Page Contains เป็นคำสั่งที่ตรวจสอบว่า เจอสิ่งที่เราคาดหวังหรือไม่ จากตัวอย่างคือ เมื่อเปิดเว็บไซต์ facebook ขึ้นมาจะต้องเจอ “โลโก้ Facebook” ซึ่งสิ่งที่เราคาดหวังเราจะหาได้โดยการกด inspec ในหน้าเว็บไซต์

16

          ทั้งนี้สิ่งที่เราคาดหวังอาจจะเป็นได้ทั้งข้อความ, รูปภาพ, Text box หรือ Element อื่น ๆ ก็ได้ แต่ Wait Until Page Contains จะใช้ในกรณีสิ่งที่เราคาดหวังเป็น Text เท่านั้น ถ้าสิ่งที่เราคาดหวังเป็นรูปภาพอาจจะใช้คีย์เวิร์ดอื่นแทน เช่น

Wait Until Page Contains Element    <<Element locator>>

          ซึ่ง Element locator ได้แก่

17

เป็นคำสั่งให้กรอกค่าลงไปใน Text box หรือ Text area ซึ่งระบุ Text box ที่ต้องการให้กรอกด้วย Element locator นั่นเอง

  • Input Password pass    xxx

คำสั่งนี้ลักษณะการทำงานจะเหมือนกับ Input Text แต่ค่าข้อมูลที่ระบุลงไปจะเป็นลักษณะของการกรอก Password

18

  • Click Button เข้าสู่ระบบ

เป็นคำสั่งให้คลิกปุ่ม

  • Wait Until Page Contains หน้าหลัก

ตรวจสอบว่าเมื่อคลิกปุ่มเข้าสู่ระบบแล้ว หากกรอกอีเมล์และรหัสผ่านถูกต้อง ระบบจะแสดงหน้าหลักของ Facebok

  • Close Browser

คำสั่งปิดบราวเซอร์ เมื่อเสร็จสิ้นการทำงาน

  1. หลังจากที่เราทำการเขียนครบทุกคีย์เวิร์ดแล้ว กดบันทึกอีกครั้งแล้วทำการรันโดยกด Ctrl+B Robot ก็จะทำงานโดยเริ่มจากคีย์เวิร์ดในบรรทัดแรกไปจนถึงบรรทัดสุดท้าย

19

20

เมื่อรันเสร็จสิ้น Sublime จะแสดงผลการรันดังนี้

21

 

นอกจากนี้ตัว Robot framework ก็จะ Generate Log file หลังจากที่เสร็จสิ้นการรันเป็น .html ไฟล์ ในโฟล์เดอร์เดียวกับไฟล์ .txt ของเราด้วยซึ่งจะมีลักษณะดังนี้

22

 

Note: คีย์เวิร์ด “Wait Until Page Contain” หรือ “Wait …”  เป็นคีย์เวิร์ดที่สำคัญและจำเป็นที่จะต้องมีหลังจากที่เกิดการกระทำกับระบบที่เราทำการ Test เช่น Mouse action ต่าง ๆ เนื่องจากเป็นการกำหนดว่า พอเกิดการกระทำจากคำสั่งใด ๆ แล้วผลลัพธ์เมื่อการกระทำนั้นเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร

 

________________________________________________________________________

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับ Robot framework

________________________________________________________________________

เรียบเรียงโดย

ทัศนีย์ คัดเจริญ
Quality Assurance

 

0 6 Continue Reading →

การติดตั้ง Robot Framework

หลังจากที่ได้รู้จักกับ Robot Framework เบื้องไปแล้วจากบทความ มาทำความรู้จักกับ Robot Framework เบื้องต้น  ในบทความนี้จะกล่าวถึงขั้นตอนของการติดตั้งตัว Robot Framework กันนะคะ

สิ่งที่ต้องมี

  • Python version 2.xx เท่านั้น (Robot Framework ยังไม่รองรับเวอร์ชั่นที่สูงกว่า)
  • Get-pip.py
  • Sublime Text version 2 หรือ 3
  • Web Browser : Firefox

 

ขั้นตอนการติดตั้ง

  1. ดาวน์โหลดและติดตั้ง Python

เข้าไปดาวน์โหลด Python ได้ที่ https://www.python.org/download/releases/2.7.8/  หลังจากนั้นทำการติดตั้ง

  1. หลังจากนั้นทำการเซ็ต Path ของ Python ตามขั้นตอนต่อไปนี้

2.1 คลิกขวาที่ Computer

2.2 เลือก Properties

2.3 ปรากฎหน้า Advanced system settings

2.4 Environment Variables..

2.5 เลือก System Variables แล้วเลือก Path

2.6 คลิกปุ่ม Edit

2.7 จากนั้นทำการเพิ่ม Path “C:\Python27\;C:\Python27\Scripts\” ลงไป

1

  1. ดาวน์โหลดและติดตั้ง get-pip.py

3.1 ทำการดาวน์โหลด get-pip.py จาก  https://bootstrap.pypa.io/get-pip.py

3.2 หลังจากได้ไฟล์ get-pip.py แล้ว คัดลอกไฟล์ไปไว้ในโฟล์เดอร์ที่ต้องการติดตั้ง

3.3 ทำการติดตั้งโดยเข้าไปในโฟล์เดอร์ที่เก็บไฟล์ get-pip.py  ดับเบิลคลิกที่ไฟล์ ก็จะเป็นการเริ่มติดตั้ง

3.4 เปิด cmd (command prompt) เพื่อตรวจสอบเวอร์ชันของ pip ที่ทำการติดตั้ง โดยพิมพ์คำสั่งต่อไปนี้

pip –version

2

  1. ทำการติดตั้ง Robot Framework ผ่าน pip โดยพิมพ์คำสั่ง

 

pip install robotframework

  1. ทดสอบว่าติดตั้งสำเร็จและสามารถใช้งานได้ โดยพิมพ์คำสั่ง

 

pybot –version

3

  1. ติดตั้ง Library ที่จะใช้งาน โดยในที่นี้เราจะใช้งาน Selenium ก็สามารถติดตั้งโดยใช้คำสั่งต่อไปนี้

 

pip install robotframework-selenium2library

 

  1. ติดตั้ง Sublime Text Editor

7.1 ติดตั้ง Sublime Text เวอร์ชัน 2 หรือ 3 ในที่นี้เราจะติดตั้งเวอร์ชัน 2

7.2 ติดตั้ง Package Control โดยเข้าไปคัดลอกซอร์สโค๊ดจาก   https://sublime.wbond.net/installation#st2

6

        7.3 เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ทำการเปิดโปรแกรม Sublime Text ขึ้นมา จากนั้นเลือก View เลือก Show Console จากนั้นนำซอร์สโค๊ดที่คัดลอกไว้ใน 7.2 มาวางใน Console รอให้มันทำการติดตั้ง Package Control สักครู่

8

        7.4 หลังจากนั้น ทำการปิดโปรแกรม Sublime แล้วเปิดอีกครั้ง เพื่อเป็นการ Restart โปรแกรม

7.5 เมื่อ Restart Sublime เรียบร้อยแล้วขั้นตอนสุดท้าย คือการ install package Robot Framework เพื่อสามารถรันผ่าน Sublime ไปที่ Preferance > Package Control

4

จากนั้นพิมพ์คำว่า install เลือก install package

5

พิมพ์ Robot Framework

9

 

________________________________________________________________________

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับ Robot framework

________________________________________________________________________

เรียบเรียงโดย

ทัศนีย์ คัดเจริญ
Quality Assurance

 

 

0 0 Continue Reading →

Code Smell & Refactoring ตอนที่ 2

Code Smell & Refactoring ตอนที่ 2
จากครั้งที่แล้ว เรารู้จักความหมายของ Code Smell และ Refactoring กันแล้วนะครับ
วันนี้ Stream Magento ทีม Code คุณภาพ  มาพูดถึง Code Smell ในแต่ละชนิดกันครับ หากเรารู้ว่า Code Smell มีลักษณะอย่างไร เราก็จะป้องกันการเกิด Code Smell ได้ตั้งแต่ต้น และสามารถรู้จุดที่จะ Refactoring ให้ Code มีคุณภาพได้ครับ และอย่างไรก็ตามการใช้ Unit Testing Framework ตั้งแต่ต้นก็จะสามารถ Refactoring ได้ง่ายและปลอดภัย

ในครั้งนี้เราจะมาเล่าเกี่ยวกับประเภทของ Code Smell กันก่อนนะครับ เพื่อให้เข้าใจในภาพกว้างก่อนที่จะรายละเอียด Code Smell มีการแบ่งประเภทไว้ใหญ่ๆ  5 ประเภท

1. Code Smell แบบบวมๆ(Bloaters)

pic-of-david-and-goliath

Bloaters ในที่นี้ มีนัยยะความหมายว่า ป่อง บวม พอง อะไรประมาณนี้ครับ และอีกความหมายหนึ่ง คือ ปลาเค็ม ซึ่งอาจจะเข้ากับความหมาย Code Smell ในเรื่องของกลิ่น มีตำนานของชาวยิวเรื่อง  เดวิดกับโกไลแอธ ในตำนานกล่าวถึง สงครามระหว่างชาวยิวและชาวฟิลิสไทน์ ในทัพฟิลิสไทน์ มีทหารตัวใหญ่ยักษ์พร้อมเกราะป้องกันและอาวุธครบมือ ชื่อว่า โกไลแอธ ไม่มีทหารยิวหน้าไหนกล้าต่อกร จนเดวิดเด็กหนุ่มเลี้ยงแกะชาวยิว อาสาสู้ศึกฟิลิสไทน์ โดยใช้เพียงก้อนหินและเชือกสลิง และชนะโกไลแอธด้วยการเหวี่ยงหิน กระแทกแสกกลางหน้าผากโกไลแอธจนสลบ จากนั้นก็ใช้ดาบของโกไลแอธตัดหัวโกไลแอธออกมา เห็นอะไรจากตำนานเรื่องนี้บ้างครับท่านผู้อ่าน

Bloaters  คือลักษณะของ Code, Method และ  Class ที่มีขนาดใหญ่ ทำงานหลายๆอย่างเสร็จสรรพในตัวมันเอง ลักษณะเหล่านี้ในระยะการเขียนโปรแกรมแรกๆอาจยังไม่ปรากฏขึ้น  แต่จะเกิดจากการเขียนส่วนเพิ่มเติมเข้าไป หรือขาดการวางโครงสร้างที่ดี และลักษณะ Bloaters  มีแนวโน้มสะสมโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะเกิดผลเสียขึ้นในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลง การแก้ไขทำได้ยากเนื่องจาก อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับส่วนอื่นๆอีก มีความซับซ้อนมาก หรือถ้าพยายามเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายหลังทำให้ระบบพังเลยก็มี ดังนั้นในส่วนนี้จึงไม่มีใครอยากจะยุ่งเท่าไรนัก เป็นไปได้ว่า Code, Method และ  Class ที่มีขนาดใหญ่ ทำงานหลายๆอย่างเสร็จสรรพในตัวมันเอง แต่การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ล้มเหลวหลายๆอย่างด้วยตัวมันเองได้เช่นกันครับ

2. Code Smell แบบใช้ OO  แบบผิดๆ(Object-Orientation Abusers)

use-your-tools

วิธีการหรือแนวทางการเขียนโปรแกรม แม้จะมีหลากหลายแบบตามการใช้งาน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ ( Object-oriented programming, OOP) ได้รับความนิยมนำมาพัฒนาในงานธุรกิจเป็นอย่างมาก OOP คือรูปแบบการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ให้ความสำคัญกับ วัตถุ ซึ่งสามารถนำมาประกอบกันและนำมาทำงานรวมกันได้ โดยการแลกเปลี่ยนข่าวสารเพื่อนำมาประมวลผลและส่งข่าวสารที่ได้ไปให้ วัตถุ อื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ทำงานต่อไป โดยหลักการ OO มีหลักการขั้นตอนที่เป็นที่ยอมรับกันในระดับสากล แต่ก็ไม่แปลกที่มีการละเมิดหลักการเหล่านั้น หรือการใช้งานแบบผิด เนื่องจากผู้เขียนเองไม่ทราบหลักการนั้นๆ หรือขี้เกียจ หรือสุดแท้แล้วแต่เหตุผล ดังนั้น Object-Orientation Abusers ก็คือ โปรแกรมที่ไม่สมบูรณ์ตามหลักการ หรือผิดหลักการการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุนั้นเองครับ

เนื้อหาชักจะมากเกินไป ครั้งนี้เอาไว้เพียงแค่นี้ก่อน ในครั้งต่อ ๆ ไปเราจะมาพูดถึง Code Smell 3 ประเภท  ที่เหลือนะครับ

Stream Magento ทีม Code คุณภาพ

Sources

  • Refactoring: Improving the Design of Existing Code – Martin Fowler
  • Mäntylä, M. V. and Lassenius, C. “Subjective Evaluation of Software Evolvability Using Code Smells: An Empirical Study”. Journal of Empirical Software Engineering, vol. 11, no. 3, 2006, pp. 395-431.
0 0 Continue Reading →

TeCS 2016 : “How to engage your customers with facebook and line”
By 425Degree.com

11

          จากงาน TeCS : Thailand eCommerce Summit 2016 จัดที่โรงแรม Grand Hyatt Erawan เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา มีธุรกิจ eCommerce ชั้นนำมากมายที่เข้ามาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมอง และแนวคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

ธุรกิจหนึ่งที่น่าสนใจอย่าง 425Degree.com เว็บไซต์จำหน่ายเคสโทรศัพท์และ Accesseries อื่น ๆ  ซึ่งมีช่องทางการจัดจำหน่ายผ่าน Social Network อย่าง Facebook และ Line โดยคุณ Vee Lertsaroj ทีมาพูดคุย Workshop ในหัวข้อ “How to Engage your Customers with Facebook and Line” ทั้งนี้คุณ Vee ได้พูดถึงแนวคิดที่น่าสนใจในการดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาชมสินค้าใน Facebook Fanpage และทำอย่างไรไม่ให้เกิดการ Reject Page

 

คุณ Vee กล่าวว่า “Bad content is Picture and price

การขายแบบ Hard sale ถือว่าเป็น Bad content เมื่อโพสต์ในลักษณะนี้มากเกินไป ลูกค้าจะรู้สึกเบื่อ ผลสุดท้าย ก็จะเกิดการ Reject page

12

          และยังพบว่า แนวโน้ม ความสนใจของลูกค้าต่อโพสต์ในเพจ วิเคราะห์จากยอดกดไลค์และกดแชร์โพสต์พบว่า

13

          หากโพสต์เนื้อหาข่าว หรือบทความที่น่าสนใจ จะมียอดไลค์และแชร์เป็นจำนวนมาก แต่หากโพสต์ในลักษณะของการขาย ยอดไลค์และแชร์จะน้อย ทั้งนี้ วิธีการโพสต์ของเพจ 425Degree คือการสอดแทรกความรู้และข่าวสารประจำวันอื่น ๆ หรือข้อมูลที่เกี่ยวกับสินค้า เป็นการให้ข้อมูลความรู้แก่ลูกค้าไม่ให้ดูเป็น Hard sale มากเกินไป

และอีกหนึ่งจุดแข็งของเพจ 425Degree ก็คือ การทำวิดีโอรีวิวสินค้าแบบเจาะลึก ทำให้สินค้าดูมีความน่าสนใจและดึงดูดลูกค้าได้เป็นจำนวนมาก ซึ่ง ณ ขณะนี้มียอดกดติดตามเพจกว่า 1.3 ล้านคน!!

เรียกได้ว่าเป็นเป็นธุรกิจของคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จด้วย Social Commerce อย่างแท้จริง

ชมบรรยากาศในงาน TeCS 2016 เพิ่มเติมได้ที่นี่

 

 

เรียบเรียงโดย

ทัศนีย์ คัดเจริญ

Quality Assurance

 

 

0 0 Continue Reading →

“Real-Time Payments Breakfast Briefing” by Stream IT Consulting

IMG_2961

สตรีม ไอที คอนซัลติ้ง ร่วมกับพันธมิตร D+H

ซึ่งเป็นผู้นำเทคโนโลยีด้านระบบการชำระเงินมาตรฐานโลกให้กับทางธนาคารขนาดใหญ่
จัดงาน “Real-Time Payments Breakfast Briefing” ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2559
ณ โรงแรม St. Regis เพื่อเปิดตัวเทคโนโลยี Global Pay Plus
สำหรับรองรับการขยายตัวของธุรกิจธนาคารไปสู่ภูมิภาคอื่นๆทั่วโล
การทำแซทเทิลเมนต์และคิดค่าธรรมเนียมการบริการต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
รวมถึงการเชื่อมต่อกับโครงสร้างพื้นฐานของระบบการชำระเงินแห่งชาติ
NPMS (National Payment  Message Standard) บนมาตราฐาน ISO20022
ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไท

งานนี้ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในภาคธนาคารต่างๆให้การตอบรับที่ดีและเข้าร่วมงานอย่างเนืองแน่น
โดยมีผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมทางการเงินมาแชร์ประสบการณ์ที่ทำให้กับ
Singapore’ s Fast and Secure Transfers (FAST) และ Australia’ s New
Payments Platform (NPP) รวมถึงเทรนใหม่ๆของ Immediate Payments Globally
ที่จะเสริมศักยภาพด้านการชำระเงินให้กับ P2P, C2B, B2C, B2B, G2C/C2G
โดยใช้ Payment Modernization Platform จากทาง D+H และสตรีม ไอที
คอนซัลติ้งจะเป็นผู้สนับสนุนบริการตามมาตรฐานของธนาคารเพื่อผลักดันให้
ธนาคารในบ้านเราสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ต่อไป

ภาพบรรยากาศในงาน

0 2 Continue Reading →

Line Pay with Magento

Line Pay with Magento

Line Pay เป็นเเพลตฟอร์มการชำระเงินผ่านมือถือที่ผูกกับบัตรเครดิต/เดบิต ใช้ชำระสินค้าแทนกระเป๋าเงิน ซึ่งสะดวกและปลอดภัยเพราะ Line Pay มีระบบ OTP และ Touch ID ในการยืนยันตัวตน

เเบ่งประเภทเป็น 2 ประเภท คือ ลูกค้า กับ ร้านค้า

 

1.วิธีการสมัครLine Pay ของลูกค้า

  • ลงทะเบียน Line pay via Line App

Screen Shot 2559-01-31 at 10.06.19 AM

  • เพิ่มบัตรเครดิต/เดบิต หลังจากกรอกแล้วครั้งต่อไปที่มีการชำระเงินก็ไม่ต้องใส่ข้อมูลบัตรทุกครั้ง บัตรที่สามารถใช้ได้ คือ VISA MASTER JCB เท่านั้น และสามารถใส่ข้อมูลบัตรได้ถึง3 ใบ ใน 1 account

Screen Shot 2559-01-31 at 10.07.10 AM

  • การชำระเงิน จะใช้บัตรเดบิต/เครดิต หรือการเติมเงินใส่Line pay ในการซื้อสินค้าหรือบริการกับร้านค้าที่ร่วมรายการ

Screen Shot 2559-01-31 at 10.07.45 AM

2.วิธีการเชื่อมต่อLine Payเข้ากับ Magentoหรือเข้ากับเว็บไซต์ร้านค้า

1.สมัครLine Pay ก่อนตามลิงค์นี้ https://pay.line.me/th/intro?locale=th_TH

1.1 คลิ๊กลงทะเบียน กรอกข้อมูลสมัครและส่งเอกสารให้เรียบร้อย

Screen Shot 2559-01-31 at 10.08.33 AM

Screen Shot 2559-01-31 at 10.09.16 AM

2.เมื่อทำการลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อย จะได้ username และ password มา

คลิ๊ก Mypage ในลิงค์นี้ https://pay.line.me/th/intro?locale=th_THแล้วจะมีให้Login

Screen Shot 2559-01-31 at 10.13.45 AM

3.เมื่อLogin เข้ามาแล้วจะเห็นเป็นหน้าจอแบบนี้ คลิ๊ก Manage Payment Server IP แล้วก็กรอกไอพีสำหรับจัดการPayment server

Screen Shot 2559-01-31 at 10.14.35 AM

4.คลิ๊กเลือก Manage Link Key แล้วใส่รหัสที่ได้รับจากLine Payที่ส่งเข้ามาในemail

Screen Shot 2559-01-31 at 10.15.12 AM

5.หลังจากใส่รหัสผ่านเสร็จก็จะเห็นChannel ID and Channel secret Key เก็บรหัสตรงนี้ไว้ จะได้รหัสมา2ชุด เป็น sandbox mode และ real modeจะนำรหัสตรงนี้ไปใส่ใน payment method

การติดตั้งLine Pay

1.ไปที่admin panel System -> Magento Connect -> Magento Connect Manager

Screen Shot 2559-01-31 at 10.15.44 AM

2.คลิ๊ก Plugin Download จาก https://pay.line.me/developers/magento/install?locale=th_TH

เลือกไฟล์ magento_0.7.0.tgz แล้วคลิก “Upload”

Screen Shot 2559-01-31 at 10.16.38 AM

3. คลิ๊กอัพโหลดจะแสดงหน้าจอด้านล่าง

Screen Shot 2559-01-31 at 10.19.17 AM

4. พอติดตั้งเสร็จแล้วไปที่admin panel -> system -> configuration ->Payment Method -> Line Pay แล้วเริ่มการใช้ enabled เป็น Yes กรอก Channel Info และ Development ที่ได้มาถ้าต้องการTest การชำระเงินให้เปิดโหมดsandbox เป็น yes

Screen Shot 2559-01-31 at 10.19.41 AM

5. หลังจากติดตั้งเสร็จเรียบร้อยเราก็สามารถที่จะเลือกช่องทางการชำระเงินเป็นLine Pay ได้ทางหน้าเว็บไซต์ของร้านค้าของMagento

Screen Shot 2559-01-31 at 10.20.16 AM Screen Shot 2559-01-31 at 10.20.25 AM

  • Login การชำระเงิน หรือใช้Smartphone scan QR code เพื่อชำระเงินสินค้า
  • ในกรณีเลือกการScan QR Code ลูกค้ายืนยันการซื้อด้วยLine Pay

 

 

  • พอชำระเงินเสร็จเรียบร้อยด้านหน้าเว็บไซต้ของร้านค้าก็จะเเสดงหน้าจอแบบนี้ขึ้นมา

Reference:http://www.click-end.com/wp/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A/#prettyPhoto

http://line.me/th/pay

https://pay.line.me/developers/magento/install?locale=th_TH

 

 

Kanyarat Povorasin

เรียบเรียงโดย

กัญญารัตน์ โพธิ์วรสิน

Kanyarat Povorasin

Magento Certified Developer Plus

https://www.magentocommerce.com/certification/directory/dev/2133171/

 

0 0 Continue Reading →

มารู้จัก Social Commerce & Magento

Social Commerce & Magento

บทความโดย Stream Magento Team 18 มกราคม 2559
Stream I.T. พาร์ทเนอร์อันดับ 1 ของ Magento ในไทย ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนจาก Magento

Screen Shot 2559-02-01 at 9.43.32 AM

วันนี้ทางทีม Stream Magento เราขอนำเสนอ ในหัวข้อ Social Commerce & Magento

นั้นจะกล่าวถึงความสำคัญของ Social Commerce และตัวอย่างการใช้ Magento เป็น Solution ในการทำ Social Commerce

 

Overview
ปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่ อินเตอร์เน็ทมีความเร็วที่สูงขึ้น เข้าถึงได้หลากหลายอุปกรณ์ น่าเชื่อถือขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการขายสินค้าสามารถเผยแพร่ช่องทางการขายไปยังทุกที่ทั่วโลกได้ง่าย ผ่านการโฆษณาสินค้าและเว็บไซท์ลักษณะ e-commerce ที่เราคุ้นเคยอย่างเช่น Amazon, e-bay,lazada,alibaba,kaidee อื่นๆอีกมากมาย หรือไม่ผู้ประกอบการต่างๆ ก็อาจจะมีเว็บไซท์ลักษณะ e-commerce เป็นของตัวเอง โดยใช้ cms ที่ใช้สำหรับสร้างเว็บไซต์สำหรับการขายของโดยเฉพาะ ซึ่งมีอยู่หลากหลาย  การทำธุรกรรมทางพาณิชย์ผ่าน e-commerce

 

นั้นกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นการพัฒนารูปแบบการค้าแบบใหม่ที่ให้ผลตอบแทนดีและเร็ว กว่ารูปแบบการค้าเดิมที่มักจะต้องผ่าน คนกลาง ประกอบกับการใช้ชีวิตของผู้บริโภคยุคนี้ เป็นยุคอยู่ทั้งในโลกความจริงและโลกออนไลน์ กิจกรรมในโลกออนไลน์ นั้นสามารถสร้างความหลากหลายในการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคนได้ เช่น การเช็คอินตามสถานที่ ร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ,ใส่ข้อความลงไปได้ว่าเราทำอะไรอยู่ , การไปกด like บน facebook , การให้คะแนนเรทของสินค้า หรือให้คำวิจารณ์, โฆษณาสินค้าจาก Youtube หรือแม้กระทั้ง ประกาศขายสินค้าและบริการผ่านทาง instagram เป็นต้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Social Media ทำให้มีการซื้อขายสินค้าและบริการที่หลากหลายชนิดมากขึ้น การสื่อสารดิจิตอลแบบใหม่นี้ ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการคิดพฤติกรรมของผู้บริโภครวมถึงการซื้อขาย จาก E-Commerce แบบเดิมๆ มาเป็น E-Commerce ผ่านเครือข่าย Social Media และสื่อออนไลน์อื่นๆ แทนซึ่งมีความหลากหลายยิ่งขึ้น แสดงถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ผู้ประกอบการใช้ Social Media ในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มผู้บริโภค เพื่อช่วยให้เกิดการซื้อขายสินค้าและบริการต่างๆบนอินเตอร์เน็ต สิ่งนี้เรียกว่า Social Commerce

หรือสรุปสั้นๆได้ว่า Social Commerce คือ Social Media ในมุมมองที่เกี่ยวข้องกับ E-Commerce หรือการทำธุรกิจโดยมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับ Social Activity บนโลกออนไลน์นั่นเองครับ

Screen Shot 2559-02-01 at 9.46.05 AMScreen Shot 2559-02-01 at 9.47.06 AM

Social Commerce มีดีอะไร ?

 

Social Commerce เป็นธุรกรรมเชิงพาณิชย์ที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย ต่างกับเทคโนโลยีใหม่อื่นๆ ที่ต้องใช้เวลานาน กว่าจะมีผู้ใช้อย่างกว้างขวาง ทั้งนี้เป็นการผสาน E-Commerce และ Social Media รวมเป็นคุณสมบัติ 6C (Social Innovation conference – Bankinter Foundation .,2012) มีดังต่อไปนี้

1.เนื้อหา – Content     ส่วนสำคัญที่สุด ผู้ประกอบการมีรายละเอียดสินค้าบนเว็บไซต์ของตนและปรับปรุงให้ทันสมัย และลูกค้าสามารถใช้ Search Engine ค้นหาข้อมูลสินค้าและข้อมูลด้านอื่นของสินค้านั้นได้ เพื่อประกอบการตัดสินใจ เช่น สื่อโฆษณาใน Youtube และ รีวิวความคิดเห็นจากลูกค้ารายอื่น การให้คะแนนจากลูกค้าที่เคยใช้สินค้า ข้อมูลที่ลูกค้าตรวจสอบจากการใช้สินค้าผ่านบทวิจารณ์สินค้า หรือ Comment เกี่ยวกับสินค้าใน Social Media ต่างๆ

3.การพาณิชย์ – Commerce       รูปแบบพาณิชย์ของ Social Media สามารถสนองตอบความต้องการทุกรูปแบบของลูกค้าได้ รับรองประเภทสินค้าและบริการได้มากชนิดขึ้น มีตั้งแต่ระดับเล็กๆจนถึงระดับใหญ่ และการติดต่อได้หลากหลายช่องทางมากกว่าเดิม   รูปแบบพาณิชย์ใหม่ๆ มีตั้งแต่ การรับดูดวงผ่าน Skype ประกาศขายสินค้าทาง Instagram , Facebook Shop ,รับออร์เดอร์สินค้าแบบขายส่งผ่าน Line อื่นๆอีกมากมาย

2.บริบท      –Context   Social Commerce อยู่บนพื้นฐาน E-Commerce นั้นมีสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขต่างๆ ที่ต้องประสานการทำงานกับระบบ ระบบขนส่ง ระบบการชำระเงิน หรือระบบอื่นๆ ซึ่งระบบเหล่านี้มีให้บริการออนไลน์ ให้ใช้งานอยู่หลากหลาย เช่น ธนาคารออนไลน์ , Track And Trace : Thailand Post การติดตามการขนส่งไปรษณีย์ไทย, Paypal ระบบการชำระเงินออนไลน์ เป็นต้น อีกทั้ง สามารถเข้าถึงข้อมูลด้วย อุปกรณ์เคลื่อนที่ที่มาพร้อมกับแอพพลิเคชันที่รองรับการใช้งานในหลากหลายฟังก์ชัน สามารถตอบสนองการใช้งานของผู้ใช้ได้เป็นอย่างมาก โลกออนไลน์สามารถผสานกับโลกความจริงได้สร้างความสะดวกสบายทั้งแก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการ

  1. การเชื่อมต่อ–Connection Social Media สร้างเครือข่ายออนไลน์รูปแบบใหม่ ที่มีข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้อาจมาจากระบบสังคมปกติหรือสร้างใหม่จากเครือข่ายออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ต่างๆ ทั้งในระดับเดียวกัน สังคมเดียวกันและอย่างไม่เป็นทางการ การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือการเชื่อมต่อกลุ่มคนเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำหรับการทำการตลาดของ Social Commerce
  2. ชุมชน – Community เมือมีการเชื่อมต่อความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ก็เกิดเป็นสังคมขึ้น Social Media สามารถสร้างความสัมพันธ์ของกลุ่มผู้ใช้บริการ ที่มีความสนใจคล้ายๆกัน ก่อให้เกิดเป็นชุมชนต่างๆ พื้นที่โลกออนไลน์ที่ทุกคนสามารถมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ยกตัวอย่าง เช่น Wongnai เป็นชุมชนในการรีวิวร้านอาหารทั่วกรุงเทพและปริมณฑล Facebook Fan Page ร้านต่างๆ หรือแม้กระทั้ง Pantip เว็บบอร์ด ชื่อดังของไทย เป็นต้น

6.การสนทนา–Conversation     การพูดคุยหรือการสนทนา เป็นสิ่งที่สำคัญในงานขายและการตลาด ซึ่ง Social Commerce ผู้ขายหรือผู้ซื้อสามารถเชื่อมโยงการขายสินค้าและบริการ หรือการสอบถามข้อมูล ของตนไปในรูปแบบการแชทหรือสนทนาออนไลน์ ผ่าน Social Media แบบต่างได้ เช่น การแทรกเรื่องราวเกี่ยวกับสินค้าและบริการของของตนในระหว่างการสนทนาออนไลน์ที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายใช้บริการอยู่ หรือแม้กระทั่งการคอมเมนท์โพสต์สินค้าของลูกค้าเอง

ตัวอย่าง Social Commerce ที่นำมาใช้จริง โดย Magento

หลังจากที่พูดถึงทฤษฎีมายาวเยียด ก็เพราะอยากให้ผู้อ่านได้เห็นที่มาและความสำคัญ การนำความคิด Social Commerce มาใช้จริงนั้นมีอยู่มากมายหลายวิธีหลายกลยุทธ ดังนั้นทีม Stream Magento ของนำเสนอ สิ่งที่ทีมเราถนัดที่สุดคือ Magento เริ่มกันเลยครับ

เริ่มที่ F-Commerce หรือ Facebook-Commerce เราที่สามารถสร้างธุรกิจบน Platform Facebook ได้ โดยไม่ต้องเสียโอกาสเมื่อลูกค้าดูข้อมูลจาก Facebook Page แล้วก็สามารถตัดสินใจซื้อของได้จากที่นี่เลย หรือเรียกว่า Facebook Shop จะเป็นแบบระบบการซื้อขายขนาดย่อมๆบน Facebook เพราะการที่ต้องให้ลูกค้าคอยออกไปเปิดหน้าเว็บไซด์เราเองเพื่อทำการซื้อของ นั้นอาจทำให้สูญเสียโอกาสในการขายไปได้อย่างไม่รู้ตัว
Facebook-Commerce สามารถใช้ Magento ทำเป็นเว็บไซต์หลักแล้วเชื่อมต่อข้อมูลมาที่ Facebook โดยมี ส่วนเสริมที่จะช่วยในการเชื่อมต่อ(Extension)ได้อย่างง่ายดาย สินค้าต่างๆที่อยู่ในร้านของเรา สามารถแชร์ แสดงความคิดเห็น กดไลค์ ได้เป็นแต่ละรายสินค้าด้วย

 

Screen Shot 2559-02-01 at 9.48.53 AM

ตัวอย่างตัวเว็บไซต์หลักที่ สร้างโดย Magento

Screen Shot 2559-02-01 at 9.50.11 AM

Facebook Page ที่ เชื่อมต่อกับ Magento แล้ว

Screen Shot 2559-02-01 at 9.56.45 AM

สามารถเลือกสินค้าลงตระกร้าได้ที่ Facebook Page

Screen Shot 2559-02-01 at 9.59.04 AM

สามารถ Checkout รายการสินค้าได้เลย

Screen Shot 2559-02-01 at 10.03.45 AM

LINE PAY e-Commerce Platform LINE ผู้นำ Social Media แพลตฟอร์มบนมือถือได้ประกาศเปิดตัวบริการใหม่ “ไลน์ เพย์ (LINE Pay)” แพลตฟอร์มการชำระเงินผ่านมือถือ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ LINE ได้ “ช้อปง่าย จ่ายสนุก” ในการชำระเงินซื้อสินค้า รวดเร็วและปลอดภัย ผู้ใช้จะสามารถเติมเงินเข้าบัญชีไลน์ เพย์ (LINE Pay) เพื่อชำระเงินและส่งโอนเงินไปยังผู้ใช้ LINE Pay ท่านอื่นผ่านการส่งข้อความได้ ส่งคำขอ แชร์เงินหรือใช้การชำระแบบร่วมกันหลายๆคนได้ ซึ่งนับเป็นการทำธุรกรรมบนมือถือรูปแบบใหม่ในอนาคต
LINE PAY ยังสนับสนุนการ เชื่อมต่อกับ ร้านค้าที่ใช้แพลตฟอร์ม Magento สามารถทำการติดตั้ง ผ่าน Extension ได้อย่างง่ายดาย การเชื่อมต่อเว็บ

Screen Shot 2559-02-01 at 10.04.21 AM

ตัวอย่างการ โอนเงิน/ ส่งคำขอ/ แชร์เงิน

เมื่อ LINE PAY ได้ถูกติดตั้งลงใน Magento แล้ว ลูกค้าสามารถ ชำระเงิน ยกเลิกการชำระเงิน และรับคืนเงินที่ออกโดยผู้ดูแลระบบได้ LINE PAY รองรับการใช้งาน Magento ทั้งการจากการเชื่อมต่อผ่านเว็บและอุปกรณ์เคลื่อนที่

Screen Shot 2559-02-01 at 10.05.01 AM

Screen Shot 2559-02-01 at 10.05.43 AM

ตัวอย่างการสั่งซื้อและการชำระเงินผ่าน LINE PAY เมื่อเชื่อต่อกับ Magento ผ่านเว็บไซต์

Screen Shot 2559-02-01 at 10.09.49 AM

ตัวอย่างการสั่งซื้อและการชำระเงินผ่าน LINE PAY เมื่อเชื่อต่อกับ Magento ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่

Screen Shot 2559-02-01 at 10.10.57 AM

Group-Buying คือ Social Commerce แบบหนึ่ง ที่เสนอขายโปรโมชั่น หรือคูปองลดราคา โดยมีเงื่อนไขว่า จะต้องมีผู้ซื้อโปรโมชั่นนั้น มากกว่าจำนวนขั้นต่ำขึ้นไป โปรโมชั่นนั้นจึงจะใช้งานได้ ยกตัวอย่างเช่น โปรโมช่ั่นร้านอาหาร ต้องมีผู้ซื้อมากกว่า 100 คนขึ้นไป ถ้ามีจำนวนคนซื้อไม่ถึง ถือว่าโปรโมชั่นนั้นยกเลิก โดยทั้งนี้อาจจะมีการจำกัดจำนวนคูปองไว้ด้วย ตัวอย่างของแนวคิดนี้คือ Grouponใน กรณีของ Magento เอง ก็มี ส่วนเสริมในการทำ Group-Buying อยู่หลายตัวครับ

Screen Shot 2559-02-01 at 10.11.34 AM

ตัวอย่าง หน้าการตั้งค่า Magento ที่ลงส่วนเสริมในการทำ Group-Buying

Screen Shot 2559-02-01 at 10.12.21 AM

ตัวอย่าง หน้าแรก Magento ที่ลงส่วนเสริมในการทำ Group-Buying

Flash Sale คือเว็บที่เสนอขายสินค้าราคาลดแบบสุดๆ เฉพาะช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ตัวอย่างของ Flash Sales เช่น www.jetsetter.com จำหน่ายโปรแกรมท่องเที่ยว หรือห้องพักโรงแรมต่างๆ อีกตัวอย่างคือ Amazon Lightening Deals ซึ่งจะมีสินค้าหลากหลายอย่าง มาลดราคาสลับสับเปลี่ยนกันไปทุกวัน โดยจะจำกัดจำนวนสินค้า และจำกัดเวลาไว้ (ประมาณ 3-4 ชม) นอกจากนี้ผู้สนใจยังสามารถติดตาม ส่วนลดใหม่ๆ ของ Amazon ผ่านทาง Twitter @amazondeals ได้อีกด้วย Magento เอง ส่วนเสริมในการทำ อีกแล้วครับผม

 

Screen Shot 2559-02-01 at 10.13.01 AM

ตัวอย่าง หน้าการตั้งค่า Magento ที่ลงส่วนเสริมในการทำ Flash Sale

Screen Shot 2559-02-01 at 10.13.35 AM

ตัวอย่าง เว็บไซต์ที่ทำ Flash Sale

อ้างอิง
อุราเพ็ญ ยิ้มประเสริฐ .(2556),S-COMMERCE: อนาคตของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ บนเครือข่ายสังคมออนไลน์,ออนไลน์
ธนกฤต วงศ์มหาเศรษฐ์ ,Social Commerce กลยุทธ์ใหม่ของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์,ออนไลน์
E-Commerce ถอยไป Social Commerce มาแล้ว http://www.positioningmag.com/content/social-commerce-กระแสใหม่แห่งโลก-ecommerce

 

เรียบเรียงโดย

ธนกฤต พรหมศิริ

Thanakrit Promsiri

Magento Certified Developer Plus

https://www.magentocommerce.com/certification/directory/dev/1960817/

0 0 Continue Reading →

ข้อมูลของยอดขาย E-Commerce ในประเทศไทย

ข้อมูลของยอดขาย E-Commerce ในประเทศไทย

            ปีที่ผ่านมาหลายคนคงเห็นข่าวการทุ่มทุนของ “iTrueMart” มากกว่า 5.3 พันล้านบาท บุกตลาด E-Commerce หรือ ข่าว “เซ็นทรัล” จัดทัพออนไลน์ ทุ่ม 1 พันล้านพร้อมรุกเออีซี ผลักดันรายได้ธุรกิจออนไลน์ภายในปี 2563 เพิ่มเป็น 10% ของกลุ่มเซ็นทรัล หลายคนคงคิดว่าทำไมถึงต้องทุ่มทุนขนาดนั้น ลงทุนไปแล้วจะได้อะไรกลับมา เรามาดูกันครับ

*ข้อมูลมูลค่ายอดขายนี้เป็นตัวเลขประมาณการณ์โดยสำรวจจากการซื้อขายสินค้าที่จับต้องได้(physical goods)และมีลักษณะ B2C ที่มีการซื้อขายผ่าน คอมพิวเตอร์ และ Mobile Devices

 

จากรูปด้านบน ภาพรวมมูลค่ายอดขายสินค้าผ่าน E-Commerce ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2014 มีมูลค่าสูงถึง 1,929 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยถึง 69,444 ล้านบาท และในปี 2015 ที่ผ่านมา 83,520 ล้านบาท มูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 20% ในปี 2016 คาดการณ์ว่าเพิ่มขึ้น 49% จากปี 2014 และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2020 ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 5,572 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยถึง 200,592 ล้านบาท

Market Segment ที่ทำมูลค่าได้มากที่สุดคือ “Consumer electronics & physical media*”  รองลงมาเป็น “Special Interest*” อันดับที่สามจะเป็น “Clothes & Shoes” สินค้าทั้งสามกลุ่มเราจะเห็นได้จาก website ทั่วๆไปที่ขายกัน แต่ที่น่าสนใจในช่วงปี 2014-2016 คือ กลุ่ม “Special Interest” เป็นสินค้าจำพวกของเล่น ของสะสม อุปกรณ์กีฬา นาฬิกา เครื่องประดับต่าง สินค้า DIY อุปกรณ์แต่งรถ และอื่นๆ มีมูลค่าแซงมาเป็นอันดับสอง

Screen Shot 2559-01-31 at 9.59.38 AM

อัตราการเติบโตยอดขาย E-Commerce ในประเทศไทย

Screen Shot 2559-01-31 at 9.59.52 AM

จากกราฟจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2015 – 2020 Market Segment ทุก Segment เป็นยังมีอัตราเติบโตเป็นบวกใน E-Commerce ซึ่งดาวรุ่งพุ่งแรงในปี 2017 หนีไม่พ้น Segment ของ “Clothes & Shoes” มีการอัตราเติบโตสูงถึง 43.8% ก่อนที่จะแผวลงไปในปีต่อๆไป ในทางกลับกัน Segment “Furniture & home appliance” และ “Special Interest” มีแนวโน้มลดลดจากปี 2015 อย่างเห็นได้ชัด ในส่วนของ Segment “Consumer electronics & physical media” มีอัตราการเติบโตคงที่สม่ำเสมอ

อัตราการเติบโตของ Market Segment ต่างๆ ส่งผลให้มูลค่ายอดขายเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักๆ มาจากการเข้าถึงผู้ใช้สามารถเข้าถึง Internet ในประเทศเพิ่มมากขึ้นและอุปกรณ์ IT ต่างๆ มีราคาลดลงและคนรุ่นใหม่ยุค Gen Y,Z ที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อและมีศักยภาพในการผลักดัน E-Commerce ในอนาคต

 

*Consumer electronics & physical media (e.g. books, DVDs, CDs, Blu-ray discs, computer/console games), consumer electronics (e.g. TVs, DVD players) and communication devices (e.g. desktop computers, laptops, smartphones, tablets).

* Special Interest” includes the online trade of toys, babyware (inclusive of baby food and clothing), sport, outdoor and garden products (e.g. sports equipment, outdoor equipment, flowers, plants, tools, DIY products), as well as hobby, luxury and other articles (e.g. art/collectors’ items, jewelry, watches, car parts and adult entertainment products)

Credit: www.statista.com/

http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000046784

http://www.thansettakij.com/2015/12/23/22403

 

_______________________________________________________________________

ไปต่อกับบทความ ยอดขาย  E-Commerce ในประเทศไทยแยกตามภาคธุรกิจ

_______________________________________________________________________

จากข้อมูลทั้งหมด ทาง Stream IT Consulting มี Solution ที่ตอบโจทย์ E-Commerce ทุกภาคธุรกิจ ได้อย่างครบถ้วน อย่างแน่นอน

banner

สนใจที่จะใช้บริการ สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

เขียนและเรียบเรียงโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

 

0 0 Continue Reading →

ผู้ขับรถ uberX ต้องจ่าย Uber เท่าไหร่?

เมื่อตอนเริ่มต้นในปี 2012 Uber คิดค่าธรรมเนียม 20% จากค่าโดยสาร หรือ 1 ใน 5… แต่ขณะนี้ สำหรับผู้ขับรถ uberX ในบางเมือง ทาง Uber เริ่มทดลองเพิ่มค่าธรรมเนียมเป็น 25-30% แล้วค่ะ

 

uberX

 

ผู้ขับรถหน้าใหม่แทบไม่ทราบด้วยซ้ำว่า Uber คิดค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ และบางท่านยังคิดว่าเป็น 20% อยู่เลย เพราะไม่ได้ค้นคว้าจากข้อมูลล่าสุดของแต่ละเมือง

แต่แม้มีการขึ้นค่าธรรมเนียม Uber ก็ยังระบุว่ามีผู้ขับรถเข้าร่วมโครงการมากขึ้นตลอดเวลา Uber เคยยกตัวอย่าง เช่น นักศึกษาที่เรียนจบมหาวิทยาลัย แล้วยังหางานไม่ได้ ก็อาศัยได้งานขับรถ Uber นี่แหละช่วยประทังค่าใช้จ่ายประจำวันไปได้ บางท่านก็เป็นผู้ที่เกษียณแล้ว แต่หารายได้เสริม บางท่านก็มีกิจการเล็กๆของตัวเอง และขับรถ Uber ในวันที่ว่าง ก็เพื่อหารายได้เสริมเช่นกัน

แต่แน่นอน กระแสต้านจากผู้ขับรถแท็กซี่ก็ยังแรงอยู่ในทุกเมือง ล่าสุด รัฐแคลิฟอร์เนียได้ตัดสินแล้วว่าผู้ขับรถถือเป็น “ลูกจ้าง” ซึ่งภาระของ “ผู้ว่าจ้าง” ต้องสูงขึ้นแน่ นี่อาจเป็นเหตุผลที่ Uber ต้องขึ้นค่าธรรมเนียมในบางรัฐในอเมริกา

 

uberTAXI

ในอีกด้าน เดี๋ยวนี Uber ก็มีการร่วมมือกับค่ายแท็กซี่บ้างแล้ว และสามารถเลือกได้ระหว่างรถ uberX หรือ uberTAXI ส่วน UberBLACK นั้นไม่ต้องพูดถึง ราคาแพงกว่าเยอะ ประมาณเทียบเท่ารถลีมูซีนบ้านเรา ซึ่งจุดนี้ ผู้เขียนคิดว่าดี เพราะสร้างความชัดเจนแก่ผู้บริโภค เพราะเคยเจอมากับตัวว่าเลือก uberX แต่ได้มาเป็นรถแท็กซี่ การแบ่งชัดเจนแบบนี้ ผู้บริโภคสามารถมีทางเลือกที่ตนเองสะดวก และในอีกด้านหนึ่ง ทั้งผู้ขับอิสระ และค่ายแท็กซี่ก็ไม่ต้องมาแย่งผู้โดยสารกันแบบที่ผ่านมา

…มีเรื่องขำๆเล่าให้ฟังคือ ปกติลูกค้าจะใจร้อนพอ Uber มาช้า แต่เห็นแท็กซี่มาก่อน ก็กระโดดขึ้นเลย และคงหาทางกด cancel ที่จอง Uber ไป ทริปล่าสุดที่ผู้เขียนไปอเมริกา ก็เจอแท็กซี่ที่รับจองจาก Uber รีบโทรแจ้งศูนย์ขออนุญาตทิ้งผู้โดยสารที่จองมา เพราะหาตัวไม่เจอ และขอรับเราลูกค้าตัวเป็นๆที่อยู่ตรงหน้าเลย ไปไกลเงินดีเสียด้วย เหรียญทุกอย่างมีสองด้านค่ะ -*-

และที่ยังน่าเป็นห่วงอยู่บ้างก็คือความปลอดภัยของผู้ใช้บริการรวมถึงตัวผู้ขับรถเอง ซึ่งแม้มีการสอบทานประวัติและประกัน แต่ผู้ใช้บริการหลายท่านก็ยังไม่วางใจนัก

ตอนนี้เห็นว่ามีคู่แข่งเกิดจากค่ายใหญ่ในจีนแล้ว และในเอเชียเราก็มี Grab Taxi มาลองติดตามวิวัฒนาการของ Uber และ Sharing economy อื่นๆ เช่น AirBnB กันต่อไปได้ที่นี่ – Stream Blog – ค่ะ

[excerpt]

Since it launched in 2012, Uber’s popular, low-cost service UberX has always had a 20% commission, where Uber takes a one-fifth of the fare (or, in Uber’s parlance, drivers pay a 20% fee to license the technology).

But last year, Uber started testing whether it could charge drivers more for the same thing. Any drivers in San Francisco who signed up after September 2, 2014 had to fork over 25% of their pay to Uber instead. Then in May, Uber put a small group of new San Francisco and San Diego drivers in a pilot program with commissions that went up to 30%.

Rising commissions aren’t an experiment anymore. In the last few months, Uber has quietly bumped up commissions from 20% to 25% for new drivers in five cities. New York City drivers who joined as of April will pay 25%, as well as drivers in Toronto, Indianapolis, Boston  and Worcester, Mass., who joined as of August, the company confirmed.

San Francisco drivers who joined in the last year still pay a 25% commission. An Uber spokeswoman declined to say whether the 30% commission pilot program has spread to more drivers or markets.

Source: Forbes Tech

 

0 0 Continue Reading →

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายการใช้คุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save