Skip to Content

Category Archives: Blog

M-Commerce กำลังมา แนวโน้มคนช้อปปิ้งผ่านมือถือเพิ่มขึ้น

ข้อมูลสถิติชี้ แนวโน้มการช้อปปิ้งผ่านมือถือเพิ่มมากขึ้น

E-commerce นิยมใช้ในการซื้อของออนไลน์และเป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ตอนนี้เมื่อมีการช้อปปิ้งด้วยมือถือเข้ามามีบทบาทในการดำรงชีวิตและ M-commerce เป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะมีความสะดวกสบาย ง่ายในการช้อปปิ้ง สามารถเปรียบเทียบ E-commerce กับ M-commerce ได้ดังนี้

– M-commerce คือ การช้อปปิ้งผ่านอุปกรณ์มือถือ (สมาร์ทโฟน)

– E-commerce คือ การช้อปปิ้งออนไลน์ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์

 

สำหรับการเติบโตของ Mcommerce มีรายละเอียดและสถิติช้อปปิ้งบนมือถือดังนี้

 

Mobile Commerce ข้อดีและข้อเสีย

M-commerce กลายเป็นช่องทางสำคัญสำหรับการช้อปปิ้งและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค แต่ก็มีปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดความผิดพลาดคือ ประสบการณ์การช้อปปิ้งบนมือถือที่ไม่ดี ได้รับสินค้าที่ไม่ตรงใจผู้ซื้อ ทำให้เกิดความผิดหวังและไม่อยากซื้ออีก

ในไตรมาสที่สองของปี 2015 ผู้ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาใช้เวลาซื้อสินค้าบนโทรศัพท์มือถือ 59% และบนเดสก์ท็อป 41%  แต่มีเพียง 15% ที่ได้รับเงินผ่านมือถือและ 85% ที่ได้รับเงิน โดยการจ่ายผ่านคอมพิวเตอร์ หลายปัจจัยที่ผู้บริโภคพบเจอจากการช้อปปิ้งบนมือถือคือ หน้าจอมีขนาดเล็กทำให้อ่านรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ยาก รวมถึงข้อมูลการชำระเงินด้วย

ความเร็วยังเป็นปัญหาของผู้ใช้มือถือ

คือผู้ซื้อมักซื้อสินค้าในระหว่างการเดินทาง ซึ่งให้ความสะดวกสบาย แต่การบริการของจุด  Wi-Fi และการเชื่อมต่อ LTE ยังมีน้อย และผู้บริโภคยังรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อป้อนข้อมูลการชำระเงินบนโทรศัพท์ เมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ แต่บริษัทฯ จะเริ่มแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยปรับปรุงปัญหาต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ไม่เพียงแต่ช้อปปิ้งบนมือถือได้เท่านั้น  แต่รวมถึงการเล่นเกม, วิดีโอบนมือถือ และอื่นๆ ได้อีกด้วย

M-Commerce ได้แย่งส่วนการตลาดของ E-commerce BII

ส่วนแบ่งทางการตลาดของ M-Commerce ที่เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา กลายเป็นส่วนที่มีขนาดใหญ่ของยอดค้าปลีกรวมของสหรัฐ ในปี 2014  M-commerce เพิ่มขึ้นถึง 11.6% ของยอด 303 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อรวมกับ E-commerce ตามข้อมูลจากสำนักสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐและ comScore BI คาดการณ์ว่า M-commerce จะเพิ่มขึ้นถึง 284  พันล้านดอลลาร์หรือ 45% ของตลาดรวม E-commerce สหรัฐในปี 2020

 

ที่มา:http://www.businessinsider.com/mobile-commerce-shopping-trends-stats-2016-10

หากสนใจที่จะเพิ่มยอดขายให้กับ E-Commerce  สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th หรือโทร 02-679-2233 เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

แปลและเรียบเรียงโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

0 0 Continue Reading →

Marketplace สำหรับ Magento2

          Marketplace คือ เว็บไซต์ที่เป็นสื่อกลางการติดต่อซื้อขายสินค้าและบริการ ซึ่งเปิดเป็นช่องทางให้ผู้ซื้อและผู้ขายเข้ามาซื้อขายสินค้า โดยแต่ละเว็บไซต์จะกำหนดกฎเกณฑ์สำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการชำระเงิน จัดส่งสินค้าของ การคิดค่า commission, fee

          หลังจากที่ Magento platform สำหรับการทำ ecommerce ระดับโลก ได้เปิดตัว Magento 2 ไปเมื่อกลางปี 2015 แล้วนั้น ณ ตอนนี้ก็ได้พัฒนามาจนถึงเวอร์ชั่น 2.1.6 ซึ่งใน Magento 2 นี้ก็ได้มีการพัฒนาหลายๆ อย่างที่เปลี่ยนแปลงไปจาก Magento 1 ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ Admin Panel หรือหน้า User Interface ต่างๆ รวมถึง Extension ของ Magento 2 ก็ต้องมีการพัฒนาขึ้นมาใหม่ทั้งหมด รวมถึงการทำ marketplace ด้วยเช่นกัน เรามารู้จักกับ Extension ที่จะทำให้เว็บไซต์จาก Magento 2 ของคุณกลายเป็น marketplace กันเลย มาดูว่ามีอะไรบ้าง

 

1. Magento2 Multiple Vendor Marketplace by Vnecom

– สามารถคำนวณค่า commission ให้กับ seller ได้ โดยกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์หรือกำหนดเป็น fix cost

– สามารถสร้างฟอร์มและกำหนด attribute สมัครสมาชิกสำหรับ seller ได้

– Seller จะมีหน้าเพื่อจัดการ product ของตัวเอง รวมถึงสามารถจัดการ order ของตัวเองได้

– ในหน้าจัดการ product seller สามารถกำหนดราคาของสินค้ารวมถึง special price และ tier price ได้

– รองรับการจัดการ credit สำหรับ seller

– สามารถกำหนดกลุ่มให้กับ seller ได้ สำหรับการจัดการค่า commission หรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ

 

2. Magento2 Multi Vendor Marketplace by Webkul

– สามารถคำนวณค่า commission rate สำหรับ seller ได้

– สามารถกำหนด enable/disable ให้ seller จัดการ order ได้เอง

– มี Home Page เพื่อให้ seller สามารถแก้ไข shop URL ข้อมูลโปรไฟล์และ page review ของตนเองได้

– seller สามารถจัดการสินค้าได้เอง และสามารถกำหนดได้ว่า admin จะต้อง approve ก่อนหรือไม่ก็ได้

– Support การใช้งานหลายภาษา

– สำหรับ seller registration จะอยู่หน้าเดียวกับ customer registration โดยสามารถเลือกได้ว่าต้องการสมัครเป็น seller

 

3. Magento Multi Vendor Marketplace by Magebay

– หน้า Seller Dashboard สามารถดูภาพรวมรายละเอียดและข้อมูลการซื้อขายต่างๆ ได้ เช่น Credit, Total sales, Total Order

– Seller สามารถจัดการ order ได้เอง รวมไปถึงการเปลี่ยน order status, การ update tracking ID, รวมไปถึงการส่ง email หรือ invoice ให้กับลูกค้า

– Seller สามารถเพิ่มสินค้าได้เอง

– ระบบสามารถกำหนดค่า commission ได้โดยจะกำหนดเป็นแต่ละ seller หรือแยกตามตามรายการสินค้าหรือหมวดหมู่ของสินค้าได้

– seller แต่ละรายสามารถกำหนดวันหยุดของแต่ละร้านได้เอง แสดงข้อความเพื่อแจ้งให้ลูกค้าทราบ

– สามารถ Import/Export รายการสินค้าได้ โดยอยู่ในรูปแบบของ CSV

ในบทความนี้เรายกตัวอย่าง extension ที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถใช้งานแบบเป็นศูนย์กลางการซื้อขายระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายได้ โดย extension แต่ละแบบก็จะมีฟีเจอร์สำหรับการใช้งานที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณแตกต่างกันไป โดยหากสนใจสามารถติดต่อได้ที่ marketing@stream.co.th หรือโทร 02-679-2233


เขียนและเรียบเรียงโดย

กมลเนตร   วงศ์ปราโมทย์

Business Analyst

0 0 Continue Reading →

“ แจ็คหม่า” เอาจริง จีนควรจัดการขั้นรุนแรง กับผู้ที่ขายสินค้าปลอมออนไลน์ บน Alibaba

“ แจ็คหม่า” เอาจริง จีนควรจัดการขั้นรุนแรง กับผู้ที่ขายสินค้าปลอมออนไลน์ บน Alibaba

แจ็คหม่า ต้องการให้ฝ่ายนิติบัญญัติชั้นนำของประเทศจีน ให้มาจัดการขั้นรุนแรงกับสินค้าปลอม โดยสินค้าปลอมเหล่านี้ มีการแอบอ้างว่าเป็นสินค้าเดียวกันกับแบรนด์ระดับโลก นำมาแอบอ้างลดราคาในเว็บไซต์ออนไลน์

 

อาลีบาบา กรุ๊ปโฮลดิ้ง จำกัด เป็นประธานยื่นอุทธรณ์ไปยังสภาประชาชนแห่งชาติ ของการประชุมในกรุงปักกิ่ง เพื่อลงโทษอย่างรุนแรงในการขายสินค้าปลอมแปลง ในจดหมายเปิดผนึก ในเว็บไซต์ของ Weibo ในประเทศจีน

แจ็คหม่า กล่าวว่า การบังคับใช้กฎหมายในการค้าขายออนไลน์ในปัจจุบันนั้นหละหลวมเกินไป ควรมีการเพิ่มโทษจำคุกสูงสุด และการลงโทษอื่นๆ ที่จะยับยั้งให้เห็นการเอาผิดทางกฎหมายในการ ซื้อ – ขายสินค้าออนไลน์ให้มากขึ้น และขอร้องให้ประชาชนที่กระทำผิดนั้นเลิกกระทำความผิด โดยมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างต่อเนื่องในต่างประเทศ เว็บอาลีบาบาได้ถูกกล่าวว่าเป็น “Notorious markets” โดยสหรัฐฯ ในปีที่แล้ว โดยซึ่ง Notorius market เป็นที่รวมรายชื่อเว็บไซต์ที่ขายของละเมิดลิขสิทธิ มี Pirate Bay และ flea markets รวมอยู่ด้วย

แจ็คหม่า เขียนบทความไว้ในหนังสือของเขาว่า :

“We need to fight counterfeits the same way we fight drunk driving,” Ma wrote in his letter. “No one company can do it alone. The existing laws are lagging, failing to impose actual threats on the behavior of counterfeiters and leave far too much room for cheating.”

“เราจำเป็นต้องต่อสู้กับของปลอมเช่นเดียวกับที่เราต่อสู้กับการขับรถเมา” และ “ไม่มีใครสามารถทำได้คนเดียว กฎหมายที่มีอยู่ล้าหลัง ไม่สามารถกำหนดโทษแก่ผู้ปลอมแปลง และหละหลวมเกินไปจึงมีช่องโหว่สำหรับการโกง”

สิ่งที่สำคัญคือความไว้วางใจของแบรนด์สินค้าจากต่างประเทศเป็นกุญแจสำคัญ ในการตระหนักถึงความทะเยอทะยานของการขยายตัวทั่วโลก แต่อาลีบาบายังคงรักษา และปิดข้อกล่าวหาเกี่ยวกับความไม่เต็มใจหรือไม่สามารถที่จะกำจัดของปลอมของตน เรื่องของคดียื่นในปี 2015 โดย Kering SA. บริษัทยักษ์ใหญ่ในจีนที่ทำอีคอมเมิร์ท ได้ตอบโต้ด้วยการบอกว่า จะทำทุกอย่างที่สามารถที่เอาผิดกับของปลอมและเอารายชื่อผลิตภัณฑ์ 380,000,000 รายชื่อสินค้าที่มีการปลอมแปลงออก และปิดร้านค้ามากกว่า 180,000 ร้าน บนเว็บไซต์ Taobao

 

credit:https://www.digitalcommerce360.com/2017/03/13/wunderbrow-raises-profile-on-amazon-and-video-marketing-strategy/

http://www.squeezu.com/business/

หากสนใจที่จะเพิ่มยอดขายให้กับ E-Commerce  สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th หรือโทร 02-679-2233 เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

แปลและเรียบเรียงโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

0 0 Continue Reading →

Mixpanel เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลขั้นเทพ ดีต่อใจ ช่วยพัฒนาธุรกิจไปได้ไกลถึงดวงดาว



ข้อมูลผู้ใช้งานนี่เป็นอะไรที่มีค่ามหาศาลเลยนะครับ เพราะแค่เราทราบถึงพฤติกรรม ความชอบ หรือสิ่งที่สนใจต่างๆ เหล่านี้ ก็สามารถทำให้เราผลิตแอพพลิเคชันหรือโปรแกรมเจ๋งๆ ที่ตรงใจผู้ใช้งานออกมาได้แล้ว ทำให้เรามองเห็นข้อบกพร่องที่มี และแก้ไขมันได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ ไม่ต้องไปงมเข็มในมหาสมุทรอีกต่อไป

ทำความรู้จักสุดยอดเครื่องมือเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลแห่งยุคอนาคต Mixpanel

วันนี้เราจะมาแนะนำเครื่องมือที่จะช่วยวิเคราะห์เว็บไซต์หรือโปรแกรมของเราให้มีประสิทธิภาพ ดึงข้อมูลของผู้ใช้งานทั้งหมดออกมาได้ ชื่อของมันก็คือ Mixpanel นั่นเอง ซึ่งเจ้าเครื่องมือตัวนี้มันสุดยอดมากจนสตาร์ทอัพที่เติบโตไวที่สุดในโลกถึงกับออกปากแนะนำให้เจ้าของธุรกิจหรือนักพัฒนาทุกคนลองไปศึกษากันดู เพราะมันเป็นตัวเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลที่ฉลาดมาก สามารถเก็บข้อมูลได้จนถึงระดับ User ต่อ User เลยทีเดียว ซึ่งหน้าตาของ Mixpanel นี่ต้องบอกเลยว่าดีงามสุดๆ เพราะมันใช้งานง่ายมากครับ แค่เห็นรูปก็เข้าใจได้ว่าส่วนไหนคืออะไร ทำให้สามารถเริ่มงานได้เลยโดยไม่ต้องพึ่งพาคู่มือแม้แต่น้อย

5 จุดเด่นของ Mixpanel ที่จะทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะ

นอกจากหน้าตาที่เป็นมิตรกับผู้ใช้งานแล้ว Mixpanel ยังมีจุดเด่นที่จะช่วยให้การพัฒนาต่าง ๆ ดีขึ้นได้อย่างคาดไม่ถึง ทำให้เราสามารถสร้างสรรค์เว็บไซต์และโปรแกรมดีๆ ขึ้นได้ ภายใต้ 5 จุดเด่นเหล่านี้นี่แหละ

1. ติดตามพฤติกรรมผู้ใช้งาน – จะแบบกลุ่มหรือแบบทีละคน Mixpanel เค้าก็ทำให้ได้หมด สามารถดูได้ว่าใครใช้บริการเราในรูปแบบไหน ใช้จ่ายเท่าไหร่ ใช้งานบนแพลตฟอร์มอะไรเป็นหลัก บอกเราหมดแบบไม่มีกั๊กเลย

2. ส่องความสนใจของผู้ใช้งาน – การเพิ่มยอดขายหรือทำฟีเจอร์อะไรใหม่ๆ เราต้องรู้ถึงความชอบของลูกค้าเสียก่อน ว่าคนส่วนใหญ่เค้าชอบอะไร ซึ่ง Mixpanel สามารถตอบโจทย์ตรงนี้ได้เป็นอย่างดีเลยล่ะครับ สามารถดูได้ว่า คนที่ไหนสนใจเรื่องอะไร และแต่ละคนมีการซื้อสินค้าแบบไหน ต่างกันยังไง

3. เช็คผู้ใช้งานระหว่างทาง – Mixpanel จะทำให้เรารู้ได้ว่ากว่าจะมาถึงช่องทางการจ่ายเงิน ผู้ใช้งานแต่ละคนผ่านอะไรมาบ้าง มีคนตกหล่นระหว่างทางมากแค่ไหน และอะไรทำให้เค้าเดินทางมาไม่ถึงขั้นตอนนี้ เราจะรู้ได้เลยว่าเราควรเปลี่ยนแผนหรือเดินต่อไปตามเดิม

4. ดูว่ามียอดผู้ใช้งานเท่าไหร่ – อีกหนึ่งความน่าสนใจคือ Mixpanel ช่วยให้เรารู้ว่าคนใช้งานแอพพลิเคชันหรือเว็บไซต์เรามากน้อยเท่าไหร่ เค้าโหลดไว้แล้วได้ใช้บ้างรึเปล่า ใช้งานบ่อยแค่ไหน ก็ช่วยให้เรารู้ได้ว่าทิศทางของธุรกิจจะเป็นยังไงต่อไป

5. แจ้งเตือนตามความนิยม – และสุดท้าย Mixpanel จะช่วยแจ้งเตือนตามความนิยมของผู้ใช้งานได้ โดยมันจะส่งแจ้งเตือนเข้าไปให้ผู้ใช้งานก่อนอัตโนมัติ เพื่อให้เค้านึกถึงเราและจดจำเราได้ ซึ่งถ้าเค้าไม่อยากให้เตือนก็สามารถตั้งค่าปิดได้เช่นกัน

 

ด้วยฟีเจอร์ทั้งหมดนี้นี่แหละครับที่ผลักดันให้ Mixpanel กลายเป็นสุดยอดเครื่องมือวิเคราะห์ขั้นเทพที่จะช่วยให้บริษัท เว็บไซต์ หรือแม้แต่แอพพลิเคชันของคุณพัฒนาไปได้ไกลจนยากที่จะมีใครตามทัน ลองใช้งาน Mixpanel ได้ที่นี่ 

สนใจติดต่อสอบถามโซลูชันได้ที่ marketing@stream.co.th หรือโทร 02-679-2233

 

0 0 Continue Reading →

Digital Healthcare เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกทางการแพทย์

เทคโนโลยีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในหลายๆ ด้าน รวมถึงในทางการแพทย์ที่มี Digital Healthcare เกิดขึ้น เป็นตัวกลางให้ข้อมูลของแพทย์และผู้ป่วยเชื่อมถึงกันได้มากยิ่งขึ้น

ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีการเพิ่มทุน 25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในบริษัท Digital Healthcare แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโปรแกรมสำหรับคนไข้ที่ต้องการหาหมอและเปรียบเทียบราคาการให้บริการทางการแพทย์ทั่วประเทศ

โดยบริษัท Digital Healthcare แห่งนี้ มีชื่อว่า Amino Inc ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2015 ที่เมือง San Francisco มีผู้สนใจร่วมทุนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มทุน Highland Capital Management รวมทั้ง Accel , Aspect Ventures, Charles River Ventures, Northwestern Mutual Future Ventures และ Pilot Wall Group. ล่าสุดมูลค่าการลงทุนสูงถึง 44.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

บริษัท Amino ได้นำเทคโนโลยีมาสร้างระบบค้นหา โดยในระบบมีข้อมูลประกันสุขภาพมากกว่า 9 ล้านข้อมูลซึ่งเก็บมาจากการเคลมประกัน และในข้อมูลนั้นมีคนไข้ถึง 222 ล้านคน ด้วยระบบค้นหาที่ผ่านเว็บไซต์ ผู้ใช้จึงสามารถเข้าถึงได้ด้วยมือถือและคอมพิวเตอร์ สามารถค้นหาแพทย์และเปรียบเทียบราคาการให้บริการทางการแพทย์ในบริเวณใกล้เคียง

เดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา Amino ได้อัพเดทข้อมูลให้แก่ผู้ใช้ ซึ่งสามารถค้นหาการให้บริการทางการแพทย์ 49 ประเภท และสามารถเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายการให้บริการระหว่างรัฐได้ รวมถึงประมาณการค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายตามประสบการณ์ของแพทย์โดยดูจากประกันที่ผู้ใช้มีอยู่ ซึ่งพิจารณาจากข้อมูลของแพทย์ 550,00 คน และ 129 บริษัทประกัน โดยผ่านการให้บริการที่ชื่อว่า  “Find a doctor service”

มาดูการทำงานแบบคร่าวๆ กันครับ

เริ่มจากผู้เข้าชม ต้องการหาบริการทางการแพทย์ หรือ ต้องการประมาณการค่าใช้จ่ายของบริการทางการแพทย์ โดยพิมพ์ key word ที่ต้องการค้นหา

 

สมมติว่า ต้องการฝากครรภ์หรือทำคลอด เพียงแค่ search และ กรอกเงื่อนไข เช่น อายุ เพศ สถานที่ต้องการ

 

จากนั้นระบบจะทำการค้นหาข้อมูล แพทย์ ตามบริเวณที่เราได้เลือกเงื่อนไขไว้

 

จากนั้นระบบจะแสดงข้อมูลจำนวนแพทย์ ตามแต่ละพื้นที่ จากเงื่อนไขที่ได้ระบุไว้

 

ผู้ใช้สามารถเลือกดูข้อมูลแพทย์แบบละเอียดได้ และสามารถนัดแพทย์ได้เลย นอกจากนี้ยังสามารถดูรีวิวและดูค่าใช้จ่ายของแพทย์แต่ละคนที่ได้เลือกไว้

 

หรือจะทำการประเมินค่าใช้จ่ายสำหรับการให้บริการทางการแพทย์ได้ด้วย เช่น การ x-ray แขน

 

ระบบจะค้นหาและแสดงค่าใช้จ่ายให้ครอบคลุมตามพื้นที่ที่ต้องการอีกด้วย

 

Credit: https://www.digitalcommerce360.com/2017/04/10/676759/

 

หากสนใจ IT Solution สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

แปลและเรียบเรียงโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

 

 

 

 

0 0 Continue Reading →

เพิ่มยอดขายในเว็บไซต์ E-Commerce ด้วยการทำ Personalization (Part II)

เพิ่มยอดขายในเว็บไซต์ E-Commerce ด้วยการทำ Personalization (Part II)

 

ในบทความก่อนหน้านี้ได้พูดถึงการเพิ่มยอดขายสำหรับเว็บไซต์ E-commerce ด้วยการทำ Personalization ไปบางส่วนแล้ว ในบทความนี้ผมจะขอเพิ่มเติมกลยุทธ์อื่นๆ ที่จะทำให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จ ได้แก่

1.Wish list

Wish list คือสิ่งที่คนเข้ามาดูในเว็บไซต์ปรารถนา การมี function Wish list ทำให้เรารู้ว่า ลูกค้าต้องการสินค้าชิ้นนั้นๆ แต่ราคาอาจจะยังไม่โดนใจหรือสินค้าหมด stock แล้วของยังไม่มา เมื่อเจ้าของเว็บไซต์รู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ก็จัดโปรโมชั่นที่ตรงกับความต้องการลูกค้า เช่น ราคาโดนๆ แล้วแจ้งไปทางอีเมลเพื่อจูงใจให้ลูกค้ากลับมาซื้อ หรืออาจจะจัดกิจกรรมแจกคะแนนสะสมหรือคูปอง โดยให้ลูกค้าแชร์ wish list ผ่านหน้า Facebook, Line หรือ Social Media อื่นๆ ซึ่งจะทำให้เกิดการแชร์ ขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น

2.Subscribe Newsletters

ในเว็บไซต์ควรจะทำ Subscribe Newsletters ในหน้า Home page และควรทำเป็น pop up ขึ้นมา เพื่อให้ลูกค้าเห็นได้ชัดเจน อาจจะใส่เนื้อหาโปรโมชั่น สินค้า หรือให้ส่วนลดคูปอง หรือ ให้ point เพื่อจูงใจให้ลูกค้า subscribe ให้ลูกค้าได้ติดตามข่าวสาร และโปรโมชั่นของร้านค้าผ่านทางอีเมล

3.Email

การส่งอีเมลไปหาลูกค้า ทำยังไงให้ลูกค้าเปิดอ่าน และกลับเข้ามาซื้อสินค้ากับทางเว็บไซต์อีก หากส่งมากเกินไปอาจจะทำให้ลูกค้ารำคาญ ได้ จะเมื่อใดถึงจะได้ผลดี

Abandon cart with coupon

กว่า 60% ของลูกค้าที่เข้ามาเว็บไซต์แล้วไม่ชำระสินค้า เนื่องจากลูกค้าบางส่วน ไม่มั่นใจในความปลอดภัยในการชำระเงินของเว็บไซต์หรือตกใจกับค่าขนส่ง หรือยอดรวมเงินที่ชำระในตระกร้าสูงเกินไป เมื่อเรารู้แบบนี้ อาจจะต้องใช้วิธีการส่ง Email Marketing เพื่อส่งโปรโมชั่นคูปองลดราคาสินค้า หรืออาจจะเป็นเสนอบริการชำระเงินค่าสินค้าปลายทาง ผ่านทาง Email ให้แก่ลูกค้า เพื่อให้กลับมาชำระเงิน

New Register with coupon

การที่จะให้ลูกค้าลงทะเบียนในเว็บไซต์ของเราเป็นเรื่องที่ยาก แต่เป็นไปได้ถ้าหากเรามีสิ่งจูงใจให้ ไม่ว่าจะเป็นคูปอง หรือให้คะแนนสะสมแก่คนที่มาลงทะเบียนเว็บไซต์ของเรา

Email Marketing

การทำ Email Marketing เป็นเครื่องมือหนึ่ง ที่มีประสิทธิภาพสูง  เข้าถึงกลุ่มลูกค้าจำนวนมากได้ง่าย แต่ต้องมีเนื้อหาที่โดนใจ มีความสมดุล ระหว่างเนื้อหาและโปรโมชั่น และอย่าลืมใส่ link กลับมาในเว็บไซต์ด้วยนะครับ ส่วนเครื่องมือที่ใช้ทำ แนะนำ Mail Chimp

 

4.Location

ค่าขนส่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ในเว็บไซต์ควรจะมีการคำนวนค่าขนส่งแบบ Location Base และแสดงประเภทการจัดส่งที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น  Express , Standard, Pick up at Store  ให้ลูกค้าเลือก ซึ่งบริการขนส่งหรือศูนย์กระจายสินค้ามีมากมายให้บริการ และสามารถเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ได้อย่างสบายๆ เช่น DHL , Kerry , UPS

 

หากสนใจที่จะเพิ่มยอดขายให้กับ E-Commerce  สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

เขียนโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

0 2 Continue Reading →

เพิ่มยอดขายในเว็บไซต์ E-Commerce ด้วยการทำ Personalization

เพิ่มยอดขายในเว็บไซต์ E-Commerce ด้วยการทำ Personalization

หากทำธุรกิจเว็บไซต์ E-Commerce ในปัจจุบัน โดยที่มีแต่การแสดงสินค้า แล้วรอให้ลูกค้ามาซื้อนั้น คงไม่พออีกต่อไป

เมื่อลองมองดูธุรกิจอื่นๆ รอบตัว ยกตัวอย่างเช่น ร้านโชห่วย หลายคนอาจจะมีคำถามผุดขึ้นมาว่า ในยุคนี้ที่ modern trade ที่เรารู้จักกันดีอย่าง 7-11 หรือ Lotus Express นั้นขึ้นทั่วเมืองเป็นดอกเห็น ทำไมร้านโชห่วยบางร้าน ถึงยังสามารถยืนหยัดอยู่ในสนามแข่งขันที่ดุเดือดนี้ได้ ทั้งๆ ที่ราคาสินค้าเท่ากันหรืออาจจะแพงกว่าด้วยซ้ำ หนึ่งในเหตุผลที่สำคัญคือ ร้านเหล่านั้นเห็นลูกค้าเป็นคนสำคัญ  จดจำรายละเอียดของลูกค้าแต่ละคนได้ ไม่ว่าจะเป็น ชื่อลูกค้า สินค้าที่ลูกค้าซื้อบ่อยๆได้ การทักทายและเป็นกันเอง” ซึ่งสิ่งเหล่านี้ สามารถนำมาประยุกต์ใช้บน Website E-Commerce ได้ด้วยเช่นกัน โดยผมจะขอยกตัวอย่าง วิธีการทำให้เว็บไซต์ E-commerce เป็น Personalization มากขึ้น เพื่อเพิ่มยอดขายและทำกำไรให้ธุรกิจ

 

1.ต้อนรับลูกค้าเมื่อเข้ามาในเว็บไซต์

เว็บไซต์ก็เปรียบเสมือนกับร้านขายของ ซึ่งเมื่อมีลูกค้าเข้ามาในร้าน ก็ควรจะมีการทักทายอย่างคำสวัสดีหรือคำต้อนรับลูกค้า โดยสามารถใช้  Live chat ตั้ง auto message เพื่อ say hello กับลูกค้าไม่เกิน 10 วินาที หลังจากที่ลูกค้าเข้ามาในเว็บไซต์ โดยปกติเมื่อลูกค้าเห็นข้อความจะเข้ามาสอบถาม ข้อมูลสินค้าที่อยากได้ จากนั้น ผู้ที่ดูแลเว็บไซต์ก็เริ่มสนทนากับลูกค้าเพื่อช่วยเหลือลูกค้าและแนะนำสินค้าได้เลย ซึ่งการพูดคุยนี้ทำให้ลูกค้ามั่นใจและสร้างความรู้สึกเป็นกันเอง นำมาซึ่งโอกาสในการซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้น

Hint : live chat ในปัจจุบัน คนที่เป็น admin สามารถเห็นได้ว่าลูกค้าอยู่ location อะไร และขณะนั้นกำลังดูหน้า page ไหนอยู่ ซึ่งจะช่วยให้ admin สามารถแนะนำสินค้า upsell หรือ cross sell ให้ลูกค้าได้อย่างถูกต้อง

 

2.เสนอโปรโมชั่นในโอกาสพิเศษ

โดยทั่วไปแล้ว คนเราจะรู้สึกดีถ้ามีใครจำวันเกิดหรือวันพิเศษต่างๆ ของเราได้ ซึ่งเราสามารถนำหลักการเดียวกันนี้มาใช้กับเว็บไซต์ E-commerce ได้

เราสามารถสร้างโอกาสพิเศษได้หลายๆ อย่างบนเว็บไซต์ E-commerce ไม่ว่าจะเป็น วันเกิดของลูกค้า, วันครบรอบ 1 ปีในการเป็นลูกค้า (นับจากวันที่ลูกค้าลงทะเบียน)  , สงกรานต์ , วันขึ้นปีใหม่ , วันหยุดเทศกาลต่างๆ นานา  โอกาสพิเศษเหล่านี้ สามารถส่งข้อความอวยพร พร้อมโปรโมชั่น อย่างเช่น คูปองลดราคา หรือ แจกคะแนนสะสมพิเศษ ให้กับลูกค้า ผ่านทาง Email หรือ SMS สร้างความรู้สึกของการเป็นคนสำคัญ เป็นคนพิเศษ ตลอดจนความรู้สึกในด้านบวกอื่นๆ ทำให้มีโอกาสที่ลูกค้ารู้สึกดีแล้วจะกลับมาซื้อของบนเว็บไซต์เราอีกครั้ง และเป็นการเพิ่ม Loyalty อีกด้วย

 

3.แนะนำผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ

ถ้าลูกค้าเปิดมาหน้าแรกแล้วเห็นสินค้าที่โดนใจ หรือใกล้เคียงสินค้าที่ตั้งใจจะซื้อโดนทันที โดยไม่ต้องรอสอบถาม admin จะทำให้ลูกค้ามีโอกาสตัดสินใจซื้อสินค้าได้รวดเร็วขึ้นและรู้สึกว่าเว็บไซต์นี้โดนใจ ดังนั้น สิ่งที่เจ้าของเว็บไซต์ควรจะทำคือ วิเคราะห์สินค้าที่ลูกค้าซื้อบ่อยๆ หรือซื้อล่าสุด แล้วหา “Upsell” หรือ “Relate Product” หรือ สินค้าที่มี “Tag” เหมือนกัน มาแสดงบนหน้าแรก เพียงเท่านี้ก็เว็บไซต์ของเราก็จะดึงดูดลูกค้าให้มาสนใจซื้อสินค้าได้มากขึ้น

 

4.จัดกลุ่มลูกค้า

ลูกค้าคนไหนเป็นลูกค้าชั้นดี ซื้อสินค้าในเว็บไซต์เราเป็นประจำ นอกจากจะให้โปรโมชั่นแล้ว นอกเหนือไปจากนั้นควรจะจัดกลุ่มตาม Segment ของลูกค้าแต่ละคน โดยการทำ Segment นั้น อาจจะตั้ง กลุ่มลูกค้าเป็น Platinum, Premium, Vip , Gold , Sliver ซี่งแต่ละกลุ่ม แต่ละ Segment ลูกค้าจะเห็นราคาสินค้าพิเศษที่แตกต่างกันไป หรือ เห็นสินค้าเฉพาะกลุ่มของลูกค้า (Private Sale) เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น และจะเพิ่มโอกาสในการซื้อนั่นเอง


 

นี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนในการทำให้เว็บไซต์ E-Commerce เป็น Personalization เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสในการขาย และเพิ่มยอดขายมากยิ่งขึ้น

ติดตามบทความต่อไป

 

หากสนใจที่จะเพิ่มยอดขายให้กับ E-Commerce  สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

เขียนโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

0 1 Continue Reading →

ขั้นตอนการติดตั้ง Google Search Console

สวัสดีครับ ในบทนี้เราจะมาแนะนำถึงวิธีการติดตั้ง Google Search Console เข้ากับเว็บไซต์ของคุณครับ

  1. ก่อนอื่นเราเข้าไปที่ ลิงค์ Google Search Console  จากนั้นจะต้องทำการ Sign in ด้วยบัญชีของ Google Account นะครับ
New Google Search Console

New Google Search Console

2. คลิกที่ ADD A PROPERTY  เพื่อเพิ่มคุณสมบัติใหม่ครับ

Add property

Add property

 

3. Add a property เราจะต้องเพิ่ม URL ของเว็บไซต์ ควรระบุให้เต็มนะครับ เช่น https://www.stream.co.th

Add property URL

Add property URL

4. Verify คือขั้นตอนการยืนยันตัวตนของ URL เว็บไซต์ที่เพิ่มเข้ามาในตอนแรก โดยการ Verify นั้นสามารถทำได้หลายวิธีนะครับ มาดูได้เลยครับ
     > วิธีที่ 1 HTML File Upload Verify คือการดาวโหลดไฟล์ HTML ที่ Google สร้างไว้ให้ลงมาที่เครื่อง จากนั้นจะต้องทำการอัพโหลดขึ้นไปยัง Root ของเว็บไซต์ เช่น  var/www/html/google01f662ff20c7b6d9.html  จากนั้นก็สามารถคลิกเลือกตรวจสอบได้ที่หมายเลข 2 ดังนี้ https://www.stream.co.th/google01f662ff20c7b6d9.html

Verify Domain

Verify Domain

> วิธีที่ 2 Alternate methods สามารถเลือก Verify  ผ่านทาง  HTML tag, Domain name provider, Google Analytics, Google Tag manager ได้ดังนี้ ยกตัวอย่างเช่น เลือก Verify ผ่านทาง HTML tag เราจะต้อง Copy HTML tag ในหมายเลข 2 ไปใส่ไว้ใน HTML Header ของเว็บไซต์เราทุกหน้าครับ

Alternate Method

Alternate Method

จากนั้นทำการกด VERIFY ครับ

เสร็จสิ้นขั้นตอนการติดตั้ง Google Search Console ครับ ทีนี้เว็บไซต์ของเราก็กำลังจะถูกติดตามและ Tracking โดย Google Search Console แล้วนะครับ

ถ้าท่านไหนกำลังมองหาโซลูชัน สามารถติดต่อได้ที่ marketing@stream.co.th หรือโทร 02-679-2233 และอย่าลืมติดตามเราต่อไปนะครับ ขอบคุณครับ

 

0 0 Continue Reading →

เปลี่ยนคนเข้าเว็บขาจร ให้เป็นลูกค้าขาประจำ เพิ่ม Conversion Rate ด้วย Magento

Conversion Rate  เป็นสิ่งที่วัดประสิทธิภาพรายได้ของ Website E-commerce ที่สำคัญตัวหนึ่ง โดยคำนวนจาก จำนวนผู้ซื้อสินค้า/จำนวนผู้เข้าชม Website ยิ่งสูงมาก ยิ่งมีโอกาสที่เงินจะเข้าเยอะ

ใน Magento Version 2.1 มี Feature ที่สามารถเพิ่ม Conversion Rate ได้แก่

 

1. Elastic search (Enterprise Edition)

Admin สามารถกำหนด Priority การ Search ด้วยการ set น้ำหนักให้แก่ Attribute ต่าง เช่น  หากต้องการให้คำที่ลูกค้า Search ไป Match กับ ชื่อสินค้าก่อนสี, ขนาด, ไซส์สินค้า เราก็ใส่ น้ำหนัก “ชื่อ” มากกว่า สี ขนาด หรือ ไซส์

การใช้ Stop words โดยเพิ่ม stop word เข้าไปใน stopwords.csv เท่านี้ก็ทำให้ performance ของการ Search เพิ่มขึ้น ผลลัพธ์ออกมาได้ทันใจ ลูกค้า และ Search synonyms การค้นหาคำต่างๆ ของลูกค้า บางครั้งอาจจะไม่มีผลลัพธ์สำหรับคำนั้นเป๊ะๆ ดังนั้นการเพิ่มคำเหมือน (synonyms ) จะช่วยเพิ่มโอกาสในการค้นหาสินค้าใน Website เราให้เจอได้ง่ายขึ้น

2. PayPal in-context checkout 

ขั้นตอนการชำระเงินที่ยืดยาว อาจทำให้ลูกค้าเบื่อในการกรอกข้อมูล Magento 2 สามารถลดขั้นตอนการ Check out เพื่อให้ชำระเงินโดยต่อกับระบบ PayPal ได้ทุกหน้าที่ต้องการ และเป็นการโชว์ pop up แทนที่จะ redirect ไปที่หน้า PayPal

3. Varnish caching

เพิ่มประสิทธิภาพในการ Loading Page ให้เร็วขึ้นถึง 6-25 เท่า

 

4. Visual Merchandizer

มี Feature ที่เพิ่มขึ้นจาก Magento Enterprise 1.4  โดยสามารถแสดงสินค้าตามที่เงื่อนไขที่เรากำหนด เช่น ประเภทสินค้า (Smart Category Rules)  และการ drag and drop สินค้าที่จะแสดงในหน้า page ต่างๆ

 

5. Customer Segmentation

ลูกค้าคนไหน เป็นลูกค้าชั้นดี ที่มาซื้อกับเราเป็นประจำ นอกจากจะให้ Promotion เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเป็นคนพิเศษยิ่งขึ้นแล้ว ก็ควรจะจัด Segment ของลูกค้าแต่ละคน การทำ Segment นั้น อาจจะตั้งกลุ่มลูกค้าเป็น Platinum, Premium, VIP, Gold, Sliver ซี่งแต่ละกลุ่ม แต่ละ Segment ลูกค้าจะเห็น ราคาสินค้าพิเศษที่แตกต่างกันไป หรือเห็นสินค้าเฉพาะกลุ่มของลูกค้า (Private Sale)

 

นอกเหนือจาก Feature ของ Magento 2 ที่สามารถเพิ่ม Conversion Rate ให้กับ website ของเราแล้ว ยังมีเครื่องมือ CRO Toolbox ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการออกแบบ website ขึ้นได้อีก มาดูตัวอย่างกันครับ

 

1. Google Analytics

เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและฟรี นิยมนำมาวิเคราะห์ดูสถิติของผู้เข้าชม Website รวมถึงพฤติกรรมของผู้เข้าชม โดยแสดงจำนวน Visitor , Traffic , Content เป็นต้น

2. Inspectlet

เครื่องมือนี้สามารถเก็บวิดีโอหน้าจอที่ลูกค้าเข้ามาบน website เพื่อดูพฤติกรรมของลูกค้าอย่างละเอียด ว่าคลิกตรงไหน กรอกข้อมูลตรงไหนก่อนหลัง  แล้วนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ ดูว่าลูกค้าของเรามีปัญหาในหน้า page ไหน

3. MageMail

สามารถให้ลูกค้านำข้อมูลตระกร้าสินค้าที่ลูกค้าทิ้งไป หรือยังไม่ได้ชำระเงิน แค่ 1 คลิกผ่านอีเมลแจ้งเตือน และแนะนำสินค้าต่างๆ โดยวิเคราะห์จากสินค้าที่ลูกค้าเคยซื้อ หรือเคยเพิ่มเข้าในตระกร้าสินค้าแบบอัตโนมัติ ซึ่งลดภาระทาง Admin ลงได้ และมี Feature แจ้งเตือนอื่นๆ อีกมากมาย

4. Google PageSpeed Insights

เมื่อเราสร้าง Website เสร็จ จะรู้ได้อย่างไรว่า web ของเรานั้นมีความสามารถในการดึงข้อมูลต่างๆ มาแสดงผลลัพธ์ในหน้า page นั้นได้อย่างรวดเร็ว

Google PageSpeed Insights สามารถช่วยได้ โดยวิเคราะห์ข้อมูลการโหลด page และแนะนำการ tuning page speed อย่างละเอียด

5. AddShopper

หากต้องการรู้ว่า ช่องทางใดของ Social Media ที่สามารถเพิ่ม Conversion ให้เราได้เยอะที่สุด เครื่องมือนี้ตอบโจทย์อย่างแน่นนอน

6. Google Content Experiment

หากเราต้องการที่จะ test ว่า Design page ไหนดีกว่ากัน แบบ A หรือ แบบ B สามารถใช้เครื่องมือนี้ได้เลยแบบฟรี แต่อาจจะต้องเรียนรู้วิธีการตั้งค่านิดหน่อย

 

credit:https://magento.com/blog/best-practices/magento-conversion-rate-optimization-strategies

หากสนใจที่จะเพิ่มยอดขายให้กับ E-Commerce  สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขายของเรา marketing@stream.co.th เราเป็น Magento Partner หนึ่งเดียวในประเทศไทย

แปลและเรียบเรียงโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

 

0 0 Continue Reading →

ทำ A/B Testing ด้วย Google Content Experiments

เวลาเราสร้าง page ของ website ขึ้นมา มีหลากหลาย design หรือ หลากหลาย content เราจะวัดผลได้ยังไงว่าแบบ ไหนดีกว่ากัน จะใช้ตัววัดอะไรดี Pageviews ?  Bounces Rate ? Session Duration ? ในบทความนี้เราจะลองลงมือทำ A/B Testing  แบบง่ายๆ ด้วย

Google Content Experiments ซึ่ง ฟรี  ไม่เสียเงิน มาเริ่มกันเลยครับ

ก่อนที่จะทำ A/B Testing นั้น ต้องทำสิ่งเหล่านี้ก่อน

1.สมัคร Google Analytics  ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย

2.นำ code Google Analytics ไปวางบน page website

มาเริ่มกันเลย

  1. Sing in เข้าไปที่ Google Analytics > https://analytics.google.com/analytics/web/
  2. จากนั้นไป search คำว่า “Experiments” ทางด้านบนซ้าย

3.กดปุ่ม Create Experiment เพื่อเริ่มทำ A/B Testing กัน

4.ในตัวอย่างนี้ผมจะ Test จำนวนผู้เข้าชมระหว่าง blog A กับ blog B ซึ่งมี Design ต่างกันและเนื้อหาต่างกัน

ใน step 1 ให้ใส่เรียงตามนี้

  • ชื่อของวัตถุประสงค์ที่เราจะ test
  • วัตถุประสงค์ของการเทส ครั้งนี้ ซึ่งจะมีค่าเริ่มต้นให้ 3 ค่า
    • Pageviews – จำนวนผู้ที่เยี่ยมชม
    • Bounces เป็นอัตราของผู้เยี่ยมชมที่เข้ามายังหน้าเว็บของเราโดยที่ไม่ได้คลิ๊กต่อไปที่ไหนเลย
    • Session Duration – เวลาที่ผู้เยี่ยมชม อยู่ในหน้า page นั้นๆ
  • กำหนดค่า traffic ไปที่ 100%

จากนั้นกดปุ่ม save

Step 2

ให้ใส่ URL หน้า page ที่เราต้องการเทส โดยที่หน้าหลัก จะเป็น Original Page ส่วนหน้าที่เป็นตัวแปร ให้ใส่ที่ Variant1 และหากต้องการเปรียบเทียบหน้าอื่นๆ กับ Original Page ก็สามารถเพิ่มได้

Step 3

กดปุ่ม Manually insert the code และนำ copy code ไปวางไว้ที่ข้างล่าง tag header บน html page ที่เป็น original page

เอาไปวางไว้ตรงข้างล่าง html

Step 4

ถ้านำ code ไปติดเรียบร้อยแล้ว จะผ่านดังรูป แต่หากยังมี error แสดงว่า ติด code ผิด หรือยังไม่มี code Google Analytics ติดไว้

กดปุ่ม Save เป็นอันจบพิธีการ set A/B test  แบบง่ายๆ

 

อันนี้เป็นตัวอย่างผลการ test ที่ run มาได้ประมาณ เกือบ 2 เดือนครับ


A/B Testing คืออะไร ดูได้จากบทความนี้เลยครับ

 

ยังไงก็ลองดูกันนะครับ  สุดท้าย Google Experiment สามารถทำท่ายากได้อีกหลายท่า แต่อาจจะต้องมีความรู้ทางด้าน coding เพื่อเพิ่มความซับซ้อนของการเทส

เขียนโดย Kittiphat Dumrongprat

Business Analyst

 

 

0 0 Continue Reading →

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายการใช้คุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save