Category Archives: Digital Business

แผนภุมิ Digital Marketing Excellence ..เรียนรู้จากบริษัทที่ปรึกษา Smart Insights เดินตามแผนนี้เพื่อแผนการตลาดดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ

Capability Framework คงไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเราที่เคยทำกระบวนการการปรับปรุงคุณภาพมาแล้วนะคะ แต่ว่าคราวนี้ นำมาใช้กับนักตลาดยุคใหม่ เพื่อต่อยอดแผน Digital Marketing เพื่อมุ่งเน้นคุณภาพ ด้วยการตั้ง KPIs หรือตัวชี้วัดผลงานจาก Volume-based มาเป็น Value-based จนกระทั่งถึง Lifetime-value ในที่สุด

รวมถึงการ engage กลุ่มลูกค้าอย่างใกล้ชิดขึ้นเรื่อยๆ จาก Integrated web, mobile, email and social media ไปสู่ Full contextual personalized experiences and recommendations

ซึ่งการจะไปสู่จุดนี้ได้ก็ต้องอาศัย Big Data Analytics ล่ะค่ะ ในการนำข้อมูลต่างๆมาวิเคราะห์ และแปรเปลี่ยนเป็นประสบการณ์ที่ดีเลิศแก่ลูกค้าของเรา ผ่านช่องทางต่างๆ

—

Smart Insights Digital Excellence capability framework will help you review how effectively your digital marketing is managed across seven key areas:

• A. Your Strategic approach
• B. Evaluation and performance improvement process
• C. Management buy-in to investment in digital marketing
• D. Resourcing and structure for digital including integration
• E. Data and infrastructure or platforms
• F. Integrated customer communications across Paid-Owned-Earned media
• G. Integrated customer experiences across desktop and mobile devices

Source: Smartinsights.com – Digital Transformation

Microservices นั้นเป็นรูปแบบใหม่ในการออกแบบ software architecture
โดยจะมีลักษณะการพัฒนาที่แบ่ง application ออกเป็น services ย่อยๆ และทำงานอยู่บน process ของตัวเอง
และติดต่อกับ services อื่นๆ ง่ายๆ โดยส่วนใหญ่แล้วจะนิยมติดต่อกับผ่าน REST API โดยแต่ละ services นั้นจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ
ทำงานตามที่ business ต้องการ และสามารถ deploy แยกกันได้อย่างอิสระและเป็นการ deploy แบบอัตโนมัติ

โดยในการพัฒนา application ในแบบ microservices นั้น จะพยายามลดการจัดการแบบ centralized management ลง
ในแต่ละ services ไม่จำเป็นที่จะต้องเขียนด้วยภาษาโปรแกรมมิ่งแบบเดียวกัน
และสามารถเลือกใช้วิธีการเก็บข้อมูลที่แตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสมของแต่ละ services ได้

เรามาถูกทางหรือยังกับ Digital Transformation? 

เชื่อว่าคุณคงได้เริ่มต้นเดินทางในเส้นทางสายนี้มาแล้ว ทีนี้มาลองเช็คดูว่าเรามองภาพครบหรือยัง?

ห้วใจ 3 ข้อใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงสู่โลกดิจิทัลคือ:

1. วิสัยทัศน์และภาวะผู้นำ

2. การมุ่งเพิ่มความพึงพอใจลูกค้าในมิติดิจิทัล

3. การมีทีม Digital Transformation ที่แข็งแกร่ง เข้าใจทิศทาง

ในความเห็นส่วนตัว ข้อ 1 และข้อ 2 น่าจะเป็นจุดเริ่มต้น เราคงต้องศึกษาข้อมูลทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในธุรกิจเราหรือที่ใกล้เคียงกับเรา เพื่อให้ความคิดเราตกผลึก ว่าการคิดใหม่ทำใหม่จะทำได้อย่างไร เทคโนโลยีที่มีรอบตัวเรานั้น จะมาช่วยสร้างให้เรา connect โดยตรงกับลูกค้าเราทั้ง B2B (คู่ค้า) และ B2C (ผู้บริโภค) ได้อย่างไร?

สำหรับลูกค้าแล้ว เราต้องใส่ใจ Customer experience ในทุกขั้นตอนของ Lifecycle และนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อที่จะนำมาปรับปรุงบุคคลากร กระบวนการทำงาน และเทคโนโลยี ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย และเพื่อให้เส้นทางดิจิทัลของลูกค้าเราราบรื่นและมีประสิทธิภาพที่สุด

จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับฝีมือทีม Transformation และการบริหารการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรแล้วล่ะค่ะ

Element #1: Vision and Leadership. Digital transformation is an emergent movement and not yet recognized as a formal priority or effort by most businesses. This requires those leading or attempting to get a digital transformation program in motion to make the business case. But, the business case needs more than evidence or anecdotes; it needs a story and a vision for what it looks like and what it delivers.

Element #2: Digital Customer Experience. Digital customer experience begins with research, not guesswork, to study personas, behaviors, and expectations throughout every stage of the customer lifecycle. Once armed with information, digital transformation takes shape by specifically aligning people, processes, and technologies against goals and milestones to map a new and effective journey for digital customers.

Element #3: The Digital Transformation Team. In many cases, we learned that organizations form special teams to bring people together to start talking and put change into motion. These teams go by many names: digital circles, Centers of Excellence (CoE), rapid innovation teams, digital acceleration teams, and more.

Source: Altimeter Group

พฤติกรรมมนุษย์เราได้เปลี่ยนไปแล้ว… เทคโนโลยีนับวันจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น จนโลกของเราจะเข้าสู่ยุค Digital First อย่างชัดเจนแล้ว จากนี้ไป คำว่า Digital Transformation ก็จะอยู่กับพวกเราไปอีกนานแน่นอน

เชื่อว่าเรื่องนี้ คุณผู้อ่านคงได้รับรู้กันแล้ว…

นอกจากนี้แล้ว เรายังมองเห็นหลากหลายธุรกิจเตรียมความพร้อมด้าน Digital เช่นกัน โดยเกาะกระแส Cloud, Mobile, Big Data และ Social ใครไม่ไปก็ตกเทรนด์ จนถึงขั้นธุรกิจมีแนวโน้มจะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดหรืออาจจะถึงกับสูญพันธุ์ไปเลยก็ได้

จากผลวิจัย 52% ของธุรกิจบริษัทฯชั้นนำในกลุ่มจัดอันดับ Fortune 500 ก็ได้รับผลกระทบไปแล้ว ไม่มีใครรอดพ้นจากกระแสนี้ได้

แต่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง ก็ยังมีโอกาสเสมอ ..ขึ้นอยู่ว่าเราจะเตรียมความพร้อมอย่างไร?

ตามอินโฟกราฟฟิกนี้ เราสามารถเตรียมแผนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ โดยติดตามสถานการณ์และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสม โดยวิเคราะห์ตามแผนภูมินี้ค่ะ:

Digital Transformation, Part 1: Rapid State of Change ..การเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าที่เราคิด

Digital Transformation, Part 2: What makes it disruptive? ..ทำไมจึงต้องเปลี่ยนแปลง?

Digital Transformation, Part 3: The Building Blocks ..จิ๊กซอว์โลกดิจิทัล Cloud. Mobile. Social. Big Data.

Digital Transformation, Part 4: The Role of Leadership ..บทบาทสำคัญของ CEO และ CTO

Digital Transformation, Part 5: Transformation by Industry ..เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทีละอุตสาหกรรม จนครอบคลุมไปทั่ว

Digital Transformation, Part 6: Examples of digital transformation done right ..กรณีศึกษา

แถมท้ายด้วย What’s Next จะมีอะไรตามมาอีก จะได้เตรียมตัวกันแต่เนิ่นๆนะคะ ^ ^

บทบาทสำคัญคงไม่หนีบทบาทของผู้นำ… ในการมองหาโอกาสท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง และอาจต้องมองหาบุคคลากร หรือพันธมิตรที่เหมาะสมมาเสริมทัพด้วย เพื่อเสริมศักยภาพ และเติมเต็มส่วนที่องค์กรเราขาดได้ทันท่วงที

…คุณพร้อมหรือยังคะ กับ Digital Transformation?

Source: ZDNet

Photo Credit: SAP

เมื่อตอนเริ่มต้นในปี 2012 Uber คิดค่าธรรมเนียม 20% จากค่าโดยสาร หรือ 1 ใน 5… แต่ขณะนี้ สำหรับผู้ขับรถ uberX ในบางเมือง ทาง Uber เริ่มทดลองเพิ่มค่าธรรมเนียมเป็น 25-30% แล้วค่ะ

ผู้ขับรถหน้าใหม่แทบไม่ทราบด้วยซ้ำว่า Uber คิดค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ และบางท่านยังคิดว่าเป็น 20% อยู่เลย เพราะไม่ได้ค้นคว้าจากข้อมูลล่าสุดของแต่ละเมือง

แต่แม้มีการขึ้นค่าธรรมเนียม Uber ก็ยังระบุว่ามีผู้ขับรถเข้าร่วมโครงการมากขึ้นตลอดเวลา Uber เคยยกตัวอย่าง เช่น นักศึกษาที่เรียนจบมหาวิทยาลัย แล้วยังหางานไม่ได้ ก็อาศัยได้งานขับรถ Uber นี่แหละช่วยประทังค่าใช้จ่ายประจำวันไปได้ บางท่านก็เป็นผู้ที่เกษียณแล้ว แต่หารายได้เสริม บางท่านก็มีกิจการเล็กๆของตัวเอง และขับรถ Uber ในวันที่ว่าง ก็เพื่อหารายได้เสริมเช่นกัน

แต่แน่นอน กระแสต้านจากผู้ขับรถแท็กซี่ก็ยังแรงอยู่ในทุกเมือง ล่าสุด รัฐแคลิฟอร์เนียได้ตัดสินแล้วว่าผู้ขับรถถือเป็น “ลูกจ้าง” ซึ่งภาระของ “ผู้ว่าจ้าง” ต้องสูงขึ้นแน่ นี่อาจเป็นเหตุผลที่ Uber ต้องขึ้นค่าธรรมเนียมในบางรัฐในอเมริกา

ในอีกด้าน เดี๋ยวนี Uber ก็มีการร่วมมือกับค่ายแท็กซี่บ้างแล้ว และสามารถเลือกได้ระหว่างรถ uberX หรือ uberTAXI ส่วน UberBLACK นั้นไม่ต้องพูดถึง ราคาแพงกว่าเยอะ ประมาณเทียบเท่ารถลีมูซีนบ้านเรา ซึ่งจุดนี้ ผู้เขียนคิดว่าดี เพราะสร้างความชัดเจนแก่ผู้บริโภค เพราะเคยเจอมากับตัวว่าเลือก uberX แต่ได้มาเป็นรถแท็กซี่ การแบ่งชัดเจนแบบนี้ ผู้บริโภคสามารถมีทางเลือกที่ตนเองสะดวก และในอีกด้านหนึ่ง ทั้งผู้ขับอิสระ และค่ายแท็กซี่ก็ไม่ต้องมาแย่งผู้โดยสารกันแบบที่ผ่านมา

…มีเรื่องขำๆเล่าให้ฟังคือ ปกติลูกค้าจะใจร้อนพอ Uber มาช้า แต่เห็นแท็กซี่มาก่อน ก็กระโดดขึ้นเลย และคงหาทางกด cancel ที่จอง Uber ไป ทริปล่าสุดที่ผู้เขียนไปอเมริกา ก็เจอแท็กซี่ที่รับจองจาก Uber รีบโทรแจ้งศูนย์ขออนุญาตทิ้งผู้โดยสารที่จองมา เพราะหาตัวไม่เจอ และขอรับเราลูกค้าตัวเป็นๆที่อยู่ตรงหน้าเลย ไปไกลเงินดีเสียด้วย เหรียญทุกอย่างมีสองด้านค่ะ -*-

และที่ยังน่าเป็นห่วงอยู่บ้างก็คือความปลอดภัยของผู้ใช้บริการรวมถึงตัวผู้ขับรถเอง ซึ่งแม้มีการสอบทานประวัติและประกัน แต่ผู้ใช้บริการหลายท่านก็ยังไม่วางใจนัก

ตอนนี้เห็นว่ามีคู่แข่งเกิดจากค่ายใหญ่ในจีนแล้ว และในเอเชียเราก็มี Grab Taxi มาลองติดตามวิวัฒนาการของ Uber และ Sharing economy อื่นๆ เช่น AirBnB กันต่อไปได้ที่นี่ – Stream Blog – ค่ะ

Since it launched in 2012, Uber’s popular, low-cost service UberX has always had a 20% commission, where Uber takes a one-fifth of the fare (or, in Uber’s parlance, drivers pay a 20% fee to license the technology).

But last year, Uber started testing whether it could charge drivers more for the same thing. Any drivers in San Francisco who signed up after September 2, 2014 had to fork over 25% of their pay to Uber instead. Then in May, Uber put a small group of new San Francisco and San Diego drivers in a pilot program with commissions that went up to 30%.

Rising commissions aren’t an experiment anymore. In the last few months, Uber has quietly bumped up commissions from 20% to 25% for new drivers in five cities. New York City drivers who joined as of April will pay 25%, as well as drivers in Toronto, Indianapolis, Boston  and Worcester, Mass., who joined as of August, the company confirmed.

San Francisco drivers who joined in the last year still pay a 25% commission. An Uber spokeswoman declined to say whether the 30% commission pilot program has spread to more drivers or markets.

Source: Forbes Tech

ฮือฮากันมาก …เมื่อ Adobe เดินขึ้นเวทีงาน Apple Event เมื่อต้นอาทิตย์นี้ เพราะหากสตีฟจอบส์อยู่คงไม่มีวันนี้แน่ ด้วยเหตุ Adobe ทิ้ง MacIntosh ไป ทั้งๆที่สตีฟ จอบส์ช่วยให้แจ้งเกิดมากับมือ รู้กันทั่วทั้งวงการไอทีว่าสองบริษัทฯนี้มองหน้ากันไม่ติดเลย แม้แต่ Flash video ก็ไม่อนุญาตให้ใช้บน Apple devices ใดๆทั้งสิ้น…

แต่วันนี้ Apple กลับมาคืนดีกับ Adobe แล้ว เพราะต่างคนต่างเห็นโอกาสในการสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับวงการออกแบบ ด้วย CreativeSync technology และการทำงานในรูปแบบ Creative Cloud โดยชูโรง Apple iPad Pro and Pencil เพื่อช่วยเพิ่มความโมบายให้แก่นักออกแบบทั้งหลาย ในการหารือกันและในการนำเสนอแก่ลูกค้า

รู้สึกตื่นเต้นแทนวงการออกแบบแล้วล่ะค่ะ ^ ^

Today, during Apple’s keynote announcing iPad Pro, Adobe previewed the next generation of Creative Cloud mobile apps – including our much-anticipated new digital imaging app, Project Rigel.  We can now reveal the name of this new app – Photoshop Fix.

Adobe’s Director of Mobile Design, Eric Snowden, demoed versions of Adobe Comp CC, Adobe Photoshop Sketch, and Photoshop Fix on Apple’s just announced iPad Pro. Adobe also demonstrated how our CreativeSync technology enables mobile apps to work with each other to achieve the best results. We’ll be talking more about these apps and the new connected creative workflows that they power at Adobe MAX, The Creativity Conference, in Los Angeles, October 5-7.

During Apple’s keynote, we also demonstrated the extraordinary speed and precision of Adobe’s Creative Cloud mobile apps on Apple’s new iPad Pro. iPad Pro is great for creative workflows with a high res 12.9″ touch screen display at 2732 x 2048 pixels. The optional Apple Pencil was designed for iPad Pro and can differentiate between stylus touches and finger touches. This allows apps like Adobe Comp to use fingers as modifiers while manipulating objects with the stylus. The 1.8mm tip works for fine detail, and tilt input allows users of Adobe Photoshop Sketch to vary thickness and flow through the natural motion of tilting the stylus. With the iPad Pro, iOS9, and Adobe’s Creative Cloud mobile apps, professional creativity is coming of age.

You can watch the recording of the keynote here.

Source: https://blogs.adobe.com/conversations/2015/09/adobe-debuts-the-next-generation-of-mobile-creativity-apps-during-apple-ipad-pro-keynote.html

ส่วนตัวแล้ว… สนใจเรื่อง Robotics มากๆค่ะ เจ้าหุ่นยนตร์แสนรู้ที่เราได้ชมกันในภาพยนตร์ต่างๆใกล้จะเป็นจริงในชีวิตประจำวันของเราแล้วค่ะ และจะเหมาะกับสังคมผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก
Pepper – Robot จากค่าย Softbank และได้แนวร่วมจากยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba กับ Foxconn จะเปิดตัวแล้วในสุดสัปดาห์นี้ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยจะมีค่าใช้จ่ายเบื้องต้น และค่าบริการรายเดือน และจะมีทั้ง Robots สำหรับ Personal/ Home และยังมีโอกาสขยายตลาดไปสู่การใช้งานใน Business ได้ด้วยค่ะ
งานนี้ต้องจับตาดู พลาดไม่ได้นะคะ : )

‪#‎streamitconsulting ‪#‎digitalstream ‪#‎digitaleconomy ‪#‎thailand ‪#‎pepper‪#‎robots ‪#‎alibaba
Read more: http://techcrunch.com/2015/06/18/alibaba-foxconn-softbank-and-pepper-walk-into-a-bar/?ncid=rss&utm_source=feedburner&utm_medium=feed&utm_campaign=Feed%3A+Techcrunch+%28TechCrunch%29&utm_content=FaceBook#.w1gmjo:93Ub

อนาคตการศึกษาจะเป็นอย่างไร?

มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกำลังทำโครงการนำร่องด้าน Lifelong learning โดยการเชิญนักศึกษาที่เพิ่งเรียนจบ มาเข้าร่วมโครงการ Launch Lab ของ Harvard เพื่อให้สามารถเรียนรู้ต่อเนื่องได้ แม้เริ่มชีวิตการทำงานแล้วก็ตาม

อีกรูปแบบการศึกษาในมหาวิทยาลัย ที่มีรูปแบบเอื้อต่อการปรับเปลี่ยน Skills ในโลกที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ คือรูปแบบการศึกษาแบบ Liberal Arts ที่สหรัฐฯ ซึ่งนักศึกษาสามารถเลือกเรียนได้มากกว่าหนึ่งสาขาวิชา และสามารถเปลี่ยนสาขาที่เรียนได้ ระหว่างอยู่ในมหาวิทยาลัย

สรุป เราคงต้องมองโอกาสในการพัฒนาการเรียนการสอนให้เข้ากับพฤติกรรมโซเชียล ทั้งรูปแบบ Onlince และ Offline โดยเราต้องหาจุดสมดุลย์ระหว่าง “ความรู้” และ “ความสามารถ” ในการนำความรู้นั้นมาประยุกต์ใช้ อาจเป็นการทดลองใช้แบบ Start up หรือการทดลองใช้งาน

เพื่อที่นักศึกษาจะได้ช่วยคิดไปกับเรา ว่าการศึกษาแห่งอนาคตนั้น ควรเป็นอย่างไร? และมีผลกับชีวิตเราอย่างไร?

‪#‎streamitconsulting ‪#‎digitalstream ‪#‎education ‪#‎online ‪#‎ดิจิทัล ‪#‎การศึกษา ‪#‎มหาวิยาลัย ‪#‎โซเชียล ‪#‎th ‪#‎thailand

…

Finding The Next Wave

Today, it seems clear that the fusion of online and offline learning is going to be at the core of improving education. Humans are social creatures, and placing them in front of a laptop and hoping that they are just going to soak up the knowledge is often asking too much.

At the same time though, we need to be shifting our culture about what the ideal form of education might be. Academic knowledge needs to be complemented with practical learning, a mix that can be customized to each student’s needs. Griffel believes that “We are trying to build this technology that highlights the best content and trying to shift, in the students’ eyes and everyone’s eyes, what is the role of education in your life?”

Whether through experiential learning with startups or skills-based learning through an online subscription, this next generation of education may be less disruptive and sexy than its immediate predecessor – but it also might just work.

Read more: http://techcrunch.com/2015/06/27/education-next-wave/

มาติดตามการก่อตั้ง และเติบโตของธุรกิจดิจิทัลชั้นนำอย่าง AirBnB กันค่ะ ใน slideshow นี้ จะเล่าเรื่องการจุดประกายความคิด จากไอเดียที่ผู้ก่อตั้งสองคนที่ไม่มีเงินจ่ายค่าหอพัก และการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ไปสู่การปรับเปลี่ยนพาร์ตเนอร์ การปรับราคา ความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า การแก้เกมส์ด้วยการยกระดับการนำภาพถ่ายมืออาชีพมาช่วยสร้างความน่าสนใจ และความน่าเชื่อถือของที่พัก รวมถึงการที่ทีมผู้ก่อตั้งเอง ก็ใช้บริการที่พัก AirBnB อยู่ช่วงหนึ่ง จึงเข้าใจดีถึงความต้องการของลูกค้าที่เข้าพัก

รวมไปถึงการประกันความเสียหาย แก่ผู้ให้เช่าที่พัก เพื่อไม่ให้มีการใช้ที่พักผิดวัตถุประสงค์ และเพิ่มวงเงินประกันอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้เจ้าของสถานที่

ไปจนถึงการที่ AirBnB สามารถก้าวเข้ามาเป็นตัวกลาง ในการให้ความช่วยเหลือสถานที่พักพิงยามเกิดเหตุภัยพิบัติในสหรัฐฯ และกำลังขยายบริการในจุดนี้

ในวันนี้ AirBnB สามารถแนะนำผู้ให้เช่าให้เพิ่มราคาที่พัก ในกรณีมีการสัมนาใหญ่และที่พักเต็ม เป็นการเพิ่มรายได้ให้เจ้าของที่พักอีกแรงหนึ่ง

เส้นทางเหล่านี้ Start up ที่ชื่อว่า AirBnB ล้วนผ่านมาแล้วทั้งสิ้น กว่าจะมีวันนี้ ที่ยอดจองห้องพักสูงเกินเครือยักษ์ใหญ่อย่าง Hilton Hotels (ในปี 2012) และการก้าวสู่การคาดการณ์มูลค่าตลาดสูงถึง 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการเพิ่มทุนในช่วงปลายปีที่จะถึงนี้

ธุรกิจดิจิทัล… โมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ …หวังว่ากรณีศึกษาของ AirBnB คงช่วยเติมมุมมองให้นักธุรกิจรุ่นใหม่ทั้งหลายได้นะคะ

สตรีมเป็นดิจิทัลพาร์ตเนอร์ของท่านได้ค่ะ เชิญติดต่อทีม Stream Digital Transformation ได้ที่ marketing@stream.co.th

ตอนนี้ผมได้ทดสอบการทำ Continuous Delivery ด้วยโปรเจคที่ทำ Proof of Concept ให้กับธนาคารเพื่อรายย่อยแห่งนึง ที่ไปที่มาก็คือ เนื่องจาก Frontend ซึ่งเป็น Native Mobile Application นั้นช่วงทำการ Integrate กันกับ Backend ซึ่งเป็น REST API พบว่าเราเสียเวลากันไปในขั้นตอนการ Build, Test และส่งมอบ Build Package (Backend) เพื่อนำไปส่งมอบให้กับผู้ที่รับผิดชอบการ Integrate กับ Frontend นำไปรันที่เครื่องของตนเองเพื่อใช้ทดสอบ

ตอนนี้สิ่งที่ทำคือ เมื่อมีการ Push ชุด Source Code เข้ามายัง Git ซึ่งเป็น Source Code Repository ตัว Jenkins ซึ่งทำหน้าที่เป็น Continuous Integration Server จะทำการดึง Code มาทำการ Test โดยอัตโนมัติ ถ้าพบว่าทดสอบแล้วผ่าน จึงจะทำการ Build เพื่อให้ได้มาซึ่ง Artifact (jar, war, etc) ต่อไปคือการนำ Artifact ไปทำการ Deploy โดยสามารถกำหนดได้ว่า Policy ในการ Deploy เป็นอย่างไร เช่น จำเป็นที่จะต้องทดสอบให้ผ่านทุก Test Case เป็นต้น หลังจากนั้นก็ทำการ Deploy ลง Application Server

ซึ่งตัวที่ผมใช้ทดสอบคือ JBoss WildFly 8.2

ประโยชน์คือผมใช้เวลาแค่ 1 นาทีในการ Build, Test และ Deploy ลง Test Environment เท่านั้น ลดเวลาที่เสียเปล่าๆ จากการใช้วิธี Manual ลงไป ลด Human Error ลงไป

ในคราวหน้าจะทดสอบการ Deploy แยกลงแต่ละ Staging เช่น UAT, SIT และ Production ต่อไปเนื่องจาก Environment แต่ละที่นั้นต่างกัน จำเป็นต้องแยก Configuaration …